คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5554/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุเพียง 6 ปีเศษไปจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยจำเลยทั้งสองมุ่งประสงค์เรียกค่าไถ่เป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่ความผิดหลายกรรมไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2542 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองโดยปราศจากเหตุอันสมควร ได้ร่วมกันพรากเด็กหญิงศศิธร ทองเพชร อายุ 6 ปีเศษ ซึ่งยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากนายวีรวัฒน์ ทองเพชร และนางศิริยาภรณ์ เอกญาณกุล บิดามารดาเพื่อหากำไร และเมื่อระหว่างวันที่ 22 กันยายน 2542 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 23 กันยายน 2542 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงติดต่อกัน จำเลยทั้งสองเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ได้ร่วมกันนำตัวเด็กหญิงศศิธร อายุไม่เกิน 15 ปี ไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ที่บ้านไม่มีเลขที่ ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร แล้วเรียกเอาค่าไถ่เป็นเงิน 700,000 บาท จากนางศิริยาภรณ์มารดาของเด็กหญิงศศิธรหรือน้องเมย์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 313, 317

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 313 วรรคหนึ่ง, 317 วรรคหนึ่ง, วรรคสาม (ที่ถูกมาตรา 317 วรรคสาม) ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป ให้จำคุก 15 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อหากำไร ให้จำคุก5 ปีรวมจำคุกคนละ 20 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสืบพยานจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละสองในห้าส่วน คงจำคุกคนละ 12 ปี

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 สถานเบาลงอีกหรือไม่ เห็นว่า ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อหากำไรนั้น ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 หลังจากลดโทษให้แล้วคงจำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ขอให้ลงโทษสถานเบาในความผิดฐานดังกล่าว เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลในการลงโทษจำเลยที่ 2 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 มานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สำหรับความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกันเอาตัวเด็กอายุเพียง 6 ปีเศษ ไปจากบิดามารดาแล้วเรียกค่าไถ่จากบิดามารดาเด็กเช่นนี้เป็นพฤติการณ์ที่อุกอาจโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองเป็นการทรมานจิตใจผู้ที่เป็นบิดามารดาและญาติใกล้ชิด อีกทั้งก่อให้เกิดความหวาดเกรงแก่ประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก กำหนดโทษสำหรับความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องต่อศาล ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยที่ 2 ฟัง และถามว่าได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แสดงว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้สำนึกในการกระทำความผิดแต่อย่างใด ทั้งหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยที่ 2 จึงขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์และให้การใหม่เป็นการให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปจำคุก 15 ปี จึงเป็นการลงโทษจำคุกในอัตราขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดโทษไว้ อีกทั้งไม่มีเหตุที่จะลดมาตราส่วนโทษให้ประกอบกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ลดโทษในความผิดฐานนี้ให้สองในห้าส่วนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้เพียง 9 ปี จึงนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 มากแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวนั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กไปจากบิดามารดาผู้ปกครองและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยจำเลยทั้งสองมุ่งประสงค์เรียกค่าไถ่เป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นความผิดกรรมเดียวต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษมาไม่ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ฎีกาในประเด็นดังกล่าวขึ้นมาก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมีอำนาจวินิจฉัยตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้ฎีกาขึ้นมาด้วย เนื่องจากเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”

พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ15 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้สองในห้าส่วนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 9 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share