คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนอง ถ้าไม่ไถ่ถอนให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด มิได้ขอด้วยว่าเมื่อบังคับจำนองเอาทรัพย์ซึ่งจำนองขายทอดตลาดได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระให้จำเลยรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดอยู่จนครบและตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็มิได้พิพากษาให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยอีก ถือว่าเป็นการฟ้องบังคับจำนอง เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ 30,000 บาท โดยมีที่ดินจำนองเป็นประกัน ต่อมาได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอีกในวงเงิน 50,000 บาทโดยจำเลยที่ 2 ได้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1ไม่เกิน 50,000 บาท จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีรวมทั้งดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน181,327.45 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 14 ต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองที่ดินของจำเลยตามฟ้อง ถ้าไม่ไถ่ถอนก็ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ให้การว่ามิได้เป็นลูกหนี้ร่วม ไม่ต้องรับผิดหนี้ของจำเลยที่ 1ในส่วนเกิน 50,000 บาท

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินเบิกเกินบัญชีรวมทั้งดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 14 ต่อปี รวมเป็นเงิน 104,273 บาท กับให้ชำระดอกเบี้ยทบต้นตามอัตราและต้นเงินดังกล่าวโดยไม่ทบต้นนับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2509 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้จนครบ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ให้โจทก์บังคับการชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน หากขาดอยู่เท่าใดจึงให้จำเลยที่ 2ชำระหนี้ในจำนวนเงิน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยไม่ทบต้น นับตั้งแต่วันที่ 16พฤศจิกายน 2509 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะชำระหนี้เสร็จ คดีถึงที่สุด

ต่อมาโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา โดยโจทก์นำยึดที่ดินจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงให้นำยึดที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติม บุตรจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมแล้วขอชำระต้นเงินจำนองพร้อมทั้งดอกเบี้ยโจทก์ยินยอมบุตรจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเป็นเงิน 113,680.70 บาท

โจทก์ยื่นคำร้องว่าต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ 28 มีนาคม 2518ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 226,337.87 บาท โจทก์ได้ชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 และยึดทรัพย์ที่จำนองของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์อื่นเอาชำระหนี้แก่โจทก์ต่อไป เพราะมิใช่บังคับจำนองแต่อย่างเดียว โจทก์ขอให้อายัดเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 ซึ่งฝากไว้กับธนาคารนครหลวงไทย จำกัด จำนวน 90,000 บาท ไว้นานแล้ว โจทก์ขอให้เรียกเงินดังกล่าวมาเพื่อชำระหนี้ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธ จึงขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์อื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ต่อไปจนครบ

ศาลชั้นต้นสั่งว่าตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดมิได้พิพากษาว่าถ้าบังคับเอากับทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระหนี้ ก็ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 อีก ให้ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองถ้าไม่ไถ่ถอนให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด มิได้ขอด้วยว่าเมื่อบังคับจำนองเอาทรัพย์ซึ่งจำนองขายทอดตลาดได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระให้จำเลยรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดอยู่จนครบ และตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็มิได้พิพากษาให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยอีก ถือว่าเป็นการฟ้องบังคับจำนอง เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก

พิพากษายืน

Share