คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5543/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มิได้มีเจตนาจะยกที่ดินพิพาทในคดีนี้ให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่จำเลยกลับจดทะเบียน ให้ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ ขัดต่อเจตนาของโจทก์ ขอให้จำเลยจดทะเบียนแก้คำว่า แบ่งหักให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ ออกไปจากโฉนดที่ดินของโจทก์ แล้วใส่ชื่อโจทก์แทน เมื่อปรากฎตามหลักฐานทางทะเบียนว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นทางสาธารณประโยชน์ ดังนั้น หากโจทก์ชนะคดีโจทก์ย่อมได้รับที่ดินพิพาทดังกล่าวกลับคืนมาเป็นของโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 12502ของโจทก์ต่อจำเลยที่ 1 ออกเป็นแปลงย่อยจำนวน 8 แปลง โดยให้ที่ดินส่วนที่เหลือตรงกลางนอกเหนือจากจำนวน 8 แปลง ใช้เป็นทางเดินร่วมกัน สำหรับบุตรของโจทก์ที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยให้ทางเดินดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ มิได้มีเจตนาจะยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ดังที่จำเลยที่ 1 เขียนในคำขอแบ่งแยกแต่จำเลยที่ 2 กลับจดทะเบียนให้ที่ดินที่ใช้เป็นทางเดินดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์ซึ่งขัดต่อเจตนาของโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามจดทะเบียนแก้คำว่า “แบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์” ออกไปจากโฉนดที่ดินเลขที่ 12502 แล้วใส่ชื่อโจทก์แทน หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การว่า การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ดำเนินการไปตามความประสงค์ของโจทก์และดำเนินไปตามระเบียบขั้นตอนของกรมที่ดินทุกประการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มิได้มีเจตนาจะยกที่ดินส่วนที่เป็นทางเดิน คือที่ดินพิพาทในคดีนี้ให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แต่จำเลยที่ 2 กลับจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ขัดต่อเจตนาของโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนแก้คำว่า แบ่งหักให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ออกไปจากโฉนดที่ดินของโจทก์แล้วใส่ชื่อโจทก์แทนเห็นว่า เมื่อปรากฏตามหลักฐานทางทะเบียนว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นทางสาธารณประโยชน์ ดังนั้น หากโจทก์ชนะคดีโจทก์ย่อมได้รับที่ดินพิพาทดังกล่าวกลับคืนมาเป็นของโจทก์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และเมื่อปรากฏว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ยื่นคำขอแบ่งแยกที่ดินโดยแจ้งแก่จำเลยที่ 1 ว่าต้องการแบ่งแยกที่ดินส่วนตรงกลางให้เป็นทางเดินเพียงเพื่อให้บุตรของโจทก์ใช้ร่วมกันเท่านั้น มิได้มีเจตนาจะยกให้เป็นทางสาธารณประโยชน์นั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share