คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5543/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขอเลื่อนการพิจารณามาแล้วครั้งหนึ่ง อ้างเหตุป่วยและยืนยันว่านัดหน้าจะไม่ขอเลื่อนอีก พยานมาเท่าใดก็สืบเพียงนั้น และถ้าพยานไม่มาเลยก็ไม่ติดใจสืบเมื่อถึงวันนัดหลังจากสืบตัวจำเลยแล้ว ไม่มีพยานอื่นมาศาลศาลมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว แม้ว่าพยานที่ไม่มาดังกล่าวจะเป็นพยานหมายซึ่งไม่ยอมรับหมายก็ไม่ใช่เหตุจำเป็นที่ไม่อาจก้าวล่วงได้ สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี มีเงื่อนไขว่าจำเลย จะยอมชำระหนี้ตามสัญญาให้ลดลงเรื่อย ๆ และโดยไม่อิดเอื้อน เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญาให้ลดลง โจทก์ย่อมมีสิทธิ์ตามเงื่อนไขในการรับเปิดบัญชีเดินสะพัด โดยหักจากเงินฝากประจำของจำเลยชำระหนี้โจทก์ได้ สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้การที่โจทก์ได้นำเพียงดอกเบี้ยจากเงินของจำเลยมาหักหนี้ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2526 โดยไม่นำเงินฝากทั้งหมด มาหักหนี้เพราะบัญชีเดินสะพัดยังไม่สิ้นสุดลง แต่ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 โจทก์นำต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย จากบัญชีเงินฝากของจำเลยมาหักหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เมื่อหักหนี้แล้วจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวนหนึ่ง และหลังจากวันนั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์ยอมให้จำเลย เบิกเงินเกินบัญชีอีก ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำเงิน เข้าบัญชีเพื่อหักทอนหนี้ พฤติการณ์แสดงว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ สัญญาว่าจะปฏิบัติตามระเบียบประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์และการเบิกเงิน จำเลยตกลงใช้เช็คเป็นหลักฐานแห่งการเบิกเงิน นับแต่เปิดบัญชีเดินสะพัดเรื่อยมาจำเลยสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชี และนำเงินเข้าหักทอนบัญชีหลายครั้ง รวมเป็นเงินทั้งหมดที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ 613,338.34 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 613,338.74 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในจำนวนเงิน 477,739.31 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่
จำเลยให้การว่า ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกำหนดให้ชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ทุกวันสิ้นเดือนและผิดนัดครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมิถุนายน 2526 จำเลยจึงเป็นผู้ผิดนัดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวันสิ้นเดือนคือวันที่ 30 มิถุนายน 2526 และเป็นหนี้โจทก์อยู่ 7,780,561.03 บาท โจทก์ชอบที่จะเรียกเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยซึ่งเป็นหลักประกันการชำระหนี้รายนี้จำนวน7,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 796,250 บาท ก็จะไม่มีเงินค้างชำระแต่โจทก์ไม่ดำเนินการหักกลบลบหนี้ คงปล่อยทิ้งไว้ทำให้ดอกเบี้ยทับถมแล้วจึงนำมาหักหนี้การกระทำของโจทก์ไม่สุจริต ถึงแม้จำเลยจะเป็นหนี้โจทก์ก็เป็นหนี้อันเกิดจากเบิกเงินเกินบัญชี โจทก์มีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยตามสัญญาจะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 362,696.08 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2527ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2527 ดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 18 ต่อปีนับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2527 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2527และดอกเบี้ยอย่างไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 362,696.08 บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยทบต้นเข้าด้วยแล้วนับแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2527 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529ดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม 2529ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่าก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยในนัดวันที่ 18 กรกฎาคม 2531 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่สองนั้น จำเลยได้แถลงขอเลื่อนการพิจารณามาแล้วครั้งหนึ่งในวันที่ 4 กรกฎาคม 2531 โดยอ้างเหตุผลว่าจำเลยป่วยมีอาการท้องเสียไม่สามารถมาเบิกความได้จำเลยแถลงยืนยันในการขอเลื่อนพิจารณาคดีในนัดนี้ว่านัดหน้าจำเลยจะไม่ขอเลื่อนอีกพยานมาเท่าใดก็จะสืบเพียงนั้นถ้าพยานไม่มาเลยก็ไม่ติดใจสืบพยานจำเลยแสดงว่าจำเลยเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพยานมาสืบให้เสร็จได้ในนัดเดียว และหากขัดข้องไม่สามารถสืบพยานจำเลยได้ทั้งหมดจำเลยก็พอใจที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย โดยให้ฟังข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ดังนั้นเมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยในนัดวันที่ 18 กรกฎาคม 2531หลังจากสืบตัวจำเลยได้ 1 ปากแล้ว ไม่มีพยานอื่นของจำเลยมาศาลศาลชั้นต้นจึงได้มีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว จำเลยฎีกาอ้างว่า พยานจำเลยเป็นพยานหมายเมื่อพยานไม่ยอมรับหมายจึงไม่อาจนำมาสืบได้นั้น เห็นว่าไม่ใช่เหตุจำเป็นในการขอเลื่อนการพิจารณาคดีที่ไม่อาจก้าวล่วงได้สำหรับข้อที่จำเลยอ้างว่าที่จำเลยแถลงว่าถ้าพยานไม่มาศาลเลยก็ไม่ติดใจสืบพยานจำเลยนั้น หมายถึงพยานที่จะต้องสืบในศาลแพ่งที่พิจารณาคดีนี้ หาใช่หมายถึงพยานที่จะต้องส่งประเด็นไปสืบนอกเขตอำนาจของศาลแพ่งแต่อย่างใดไม่ เห็นว่าตามคำแถลงขอเลื่อนการพิจารณาคดีของจำเลยไม่มีทางที่จะแปลความหมายได้เช่นนั้น ข้ออ้างของจำเลยไม่ชอบด้วยเหตุผล
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า โจทก์ได้หักกลบลบหนี้โดยไม่สุจริตทำให้จำเลยเป็นหนี้เกินกว่าที่ควร หรือไม่ เห็นว่าตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีเงื่อนไขว่า จำเลยจะยอมชำระหนี้ตามสัญญาให้ลดลงเรื่อย ๆ และชำระหนี้โดยไม่อิดเอื้อนในสัญญาไม่ได้กำหนดเวลาไว้ว่า จำเลยต้องชำระหนี้โจทก์ให้เสร็จสิ้นเมื่อใด ดังนั้นเมื่อจำเลยมีหนี้สินอยู่กับโจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวและจำเลยไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาให้ลดลง โจทก์ย่อมจะใช้สิทธิตามเงื่อนไขในการรับเปิดบัญชีเดินสะพัด โดยหักเงินจากเงินฝากประจำจากสมุดคู่ฝากประจำของจำเลยชำระหนี้โจทก์ได้ เห็นได้ว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขในสัญญาที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า การที่จำเลยทำหนังสือยินยอมให้โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยและให้โจทก์ยึดถือ สมุดคู่ฝากประจำไว้แก่โจทก์ย่อมเป็นหลักฐานและเป็นเจตนาของจำเลยว่า จำเลยเจตนาให้โจทก์หักกลบลบหนี้กับจำเลยได้เมื่อเห็นว่าผิดนัด โดยไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป แล้วจึงหักกลบลบหนี้ในภายหลัง ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่จำเลยและไม่สุจริตนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะไม่มีพยานหลักฐานใดให้ฟังได้เช่นนั้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยทบต้นหลังจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 เห็นว่าหลังจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 ซึ่งโจทก์ได้หักหนี้จำเลยไม่ปรากฏว่าธนาคารโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินบัญชีอีกต่อไปนับแต่วันนั้น ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนหนี้พฤติการณ์แสดงว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงในวันดังกล่าวหลังจากวันนั้นธนาคารโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยทบต้นหลังจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 จึงไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 362,696.08 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น ในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2527 จนถึงวันที่ 8 มีนาคม 2527 ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 มีนาคม 2527 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2529 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น

Share