แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่า “การมีไว้ในครอบครอง” ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 มิได้บัญญัติให้มีความหมายพิเศษ จึงต้องถือว่ามีความหมายทั่วไป ดังนี้ การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษจึงมีความหมายเพียงว่ายาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของจำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองรู้ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ เมื่อปรากฏว่าเฮโรอีนของกลางจำนวน 60 ห่อ อยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของ ม. ที่ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และโจทก์ไม่ได้นำสืบว่ามีความเกี่ยวพันกับจำเลยทั้งสองอย่างไร ส่วนจำเลยทั้งสองอยู่ในราชอาณาจักรไทยซึ่งห่างไกลกันโดยระยะทาง ย่อมไม่อาจที่จะยึดถือหรือปกครองดูแลเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองรู้ที่เก็บเฮโรอีน และการนำเฮโรอีนของกลางออกมาจำหน่ายแก่สายลับยังต้องจ่ายเงินให้ผู้เก็บรักษาก่อนจึงจะนำออกมาได้ บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองน่าจะไม่ใช่เจ้าของหรือมีสิทธิยึดถือ ปกครองดูแลเฮโรอีนของกลาง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
จำเลยทั้งสองติดต่อเจรจาเพื่อซื้อขายเฮโรอีนกับสายลับและนัดให้มีการส่งมอบเฮโรอีนจำนวน 6 ห่อ ที่ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย แต่พฤติการณ์ในการจับกุมปรากฏว่า เจ้าพนักงานตำรวจของประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซียที่จับกุมขณะที่ผู้ซื้อเฮโรอีนกำลังตรวจสอบเฮโรอีนห่อหนึ่งอยู่ ดังนี้ เมื่อมีการตรวจสอบเฮโรอีนแล้ว ยังมิได้มีการส่งมอบเฮโรอีนจำนวน 5 ห่อซึ่งอยู่ในกระเป๋า ส่วนสายลับก็ยังมิได้นำเงินตามจำนวนที่ตกลงกันมอบให้ฝ่ายผู้ขายแต่อย่างใด การซื้อขายเฮโรอีนจึงยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ เมื่อผู้ขายถูกจับเสียก่อนที่จะส่งมอบเฮโรอีน การกระทำในส่วนนี้จึงเป็นความผิดเพียงฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนจำนวน 6 ห่อ
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมเจรจากับสายลับมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยแสดงพฤติการณ์ทำนองว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเฮโรอีนที่จะจำหน่ายให้และได้ส่ง บ. และ ต. ไปประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อรับมอบเฮโรอีนจาก ม. มามอบให้แก่พวกของสายลับ รวมทั้งได้นำสำเนาสมุดคู่ฝากของธนาคารของจำเลยที่ 1 มาให้สายลับ เพื่อให้สายลับโอนเงินเข้าบัญชีหลังจากมีการส่งมอบเฮโรอีนทั้งหมดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำกับ บ. และ ต. จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกพยายามจำหน่ายเฮโรอีน
จำเลยที่ 2 มากับจำเลยที่ 1 ในครั้งแรกแต่ไม่ได้เข้าร่วมเจรจากับสายลับแต่อย่างใดมีแต่ในระยะหลังที่จำเลยที่ 2 เข้าร่วมเจรจาพร้อมกับจำเลยที่ 1 และสายลับ ในตอนที่พวกของจำเลยที่ 1 นำเฮโรอีนจากผู้เก็บรักษามาไม่ได้ โดยผู้เก็บรักษาต้องการเงินก่อน แม้จำเลยที่ 2 จะไปช่วยเจรจากับสายลับจนสายลับตกลงที่จะจ่ายเงินให้แก่ผู้เก็บรักษา แลกกับเฮโรอีนจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็จะนำเฮโรอีนส่วนที่เหลือมามอบให้พร้อมกับให้สายลับนำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ก็ตาม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ก็ยังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 2 สมคบโดยเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีน คงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการจำหน่ายเฮโรอีนแก่สายลับ และเมื่อมีการกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนตามที่สมคบกัน จำเลยที่ 2 จึงต้องรับโทษฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนด้วย ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับนายเอี่ยวหรือบุญตันหรือบุญธรรม นายตำ หรือตัม หรืออาไจหรืออาไจ๋ และนายโมฮัมเหม็ด หรืออาติง ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฏหมายหลายกรรมต่างกัน โดยจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 60 ห่อ หนัก 29 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แล้วร่วมกันส่งเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรไปยังประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนจำนวน 6 ห่อ น้ำหนักไม่ปรากฎชัดที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและส่งออกนอกราชอาณาจักรให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66 พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 5, 8 ป.อ. มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 65 วรรคสอง, 66 วรรคสอง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง ป.อ. มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 ความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดด้วยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเกินหนึ่งร้อยกรัมโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองกระทงหนึ่ง ความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีน แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักรก็ต้องรับโทษในราชอาณาจักร ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสองอีกกระทงหนึ่ง เมื่อรวมโทษของจำเลยทั้งสองทุกกระทงความผิดแล้ว ให้ประหารชีวิตสถานเดียว ตาม ป.อ. มาตรา 91 พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ไม่มีเหตุปรานีลดโทษให้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ป.อ. มาตรา 86 พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1), 8 วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1), 8 วรรคสอง อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นการสมคบกับจำเลยที่ 1 ในการจำหน่ายเฮโรอีนเท่านั้น เพียงแต่ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการคือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต จึงเห็นควรกำหนดโทษจำเลยที่ 2 ให้จำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำว่า “การมีไว้ในครอบครอง” ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 มิได้บัญญัติให้มีความหมายพิเศษ จึงต้องถือว่ามีความหมายทั่วไปตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 คำว่า ครอบครอง หมายถึงยึดถือไว้ มีสิทธิถือเอาเป็นเจ้าของ มีสิทธิปกครอง ดังนี้ การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ จึงมีความหมายเพียงว่ายาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของจำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองรู้ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ เมื่อปรากฏว่าเฮโรอีนของกลางจำนวน 60 ห่อ อยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของนายโมฮัมเหม็ด ซึ่งอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซียและโจทก์ไม่ได้นำสืบว่ามีความเกี่ยวพันกับจำเลยทั้งสองอย่างไร ส่วนจำเลยทั้งสองอยู่ในราชอาณาจักรไทยซึ่งห่างไกลกันโดยระยะทาง ย่อมไม่อาจที่จะยึดถือหรือปกครองดูแลเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองรู้ที่เก็บเฮโรอีนของกลาง และการจะนำเฮโรอีนของกลางออกมาจำหน่ายแก่สายลับยังต้องจ่ายเงินให้ผู้เก็บรักษาก่อนจึงจะนำออกมาได้ บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองน่าจะไม่ใช่เจ้าของหรือมีสิทธิยึดถือปกครองดูแลเฮโรอีนของกลางอีกด้วย เช่นนี้ ข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สมคบโดยร่วมกันครอบครองเฮโรอีนของกลาง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
จำเลยทั้งสองติดต่อเจรจาเพื่อซื้อขายเฮโรอีนกับสายลับ และนัดให้มีการส่งมอบเฮโรอีนจำนวน 6 ห่อ ที่ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาจับกุมนั้น ยังมิได้มีการส่งมอบเฮโรอีนจำนวน 5 ห่อ ซึ่งอยู่ในกระเป๋า ส่วนสายลับก็ยังมิได้นำเงินตามจำนวนที่ตกลงกันมอบให้ฝ่ายผู้ขายแต่อย่างใด การซื้อขายเฮโรอีนจึงยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ เมื่อนายบุญธรรม นายตัม และนายโมฮัมเหม็ด ถูกจับเสียก่อนที่จะส่งมอบเฮโรอีน การกระทำในส่วนนี้จึงเป็นความผิดเพียงฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนจำนวน 6 ห่อ เท่านั้น
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมเจรจากับสายลับมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยแสดงพฤติการณ์ทำนองว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเฮโรอีนที่จะจำหน่ายให้ และได้ส่งนายบุญธรรมและนายตัม ไปประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อรับมอบเฮโรอีนจากนายโมฮัมเหม็ดมามอบให้แก่พวกของสายลับ รวมทั้งได้นำสำเนาสมุดคู่ฝากของธนาคารกสิกรไทยของจำเลยที่ 1 มาให้สายลับเพื่อให้สายลับโอนเงินเข้าบัญชีหลังจากมีการส่งมอบเฮโรอีนทั้งหมดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำกับนายบุญธรรม และนายตัม จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกพยายามจำหน่ายเฮโรอีนจำนวน 6 ห่อ
ส่วนจำเลยที่ 2 มากับจำเลยที่ 1 ในครั้งแรกแต่ไม่ได้เข้าร่วมเจรจากับสายลับแต่อย่างใด มีแต่ในระยะหลังที่จำเลยที่ 2 เข้าร่วมเจรจาพร้อมกับจำเลยที่ 1 และสายลับ ในตอนที่พวกของจำเลยที่ 1 นำเฮโรอีนจากผู้เก็บรักษามาไม่ได้ โดยผู้เก็บรักษาต้องการเงินก่อน แม้จำเลยที่ 2 จะไปช่วยเจรจากับสายลับ จนสายลับตกลงที่จะจ่ายเงินให้แก่ผู้เก็บรักษา แลกกับเฮโรอีนจำนวนหนึ่งจากนั้นก็จะนำเฮโรอีนส่วนที่เหลือมามอบให้ พร้อมกับให้สายลับนำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ก็ตาม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ก็ยังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 2 สมคบโดยเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 พยายามจำหน่ายเฮโรอีน คงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่สายลับ แต่เมื่อมีการกระทำผิดฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนตามที่สมคบกัน จำเลยที่ 2 จึงต้องรับโทษฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนด้วย ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีน ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ป.อ. มาตรา 80, 83 ประกอบ พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 5 ให้ลงโทษจำคุก 24 ปี สำหรับจำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ป.อ. มาตรา 80, 86 ประกอบ พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 5, 8 วรรคสอง ลงโทษฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนให้จำคุก 24 ปี คำให้การจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 16 ปี ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.