แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เคยฟ้องคดีขับไล่จำเลยซึ่งในชั้นพิจารณาศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์แต่ไม่มีพยานมาสืบในประเด็นที่ว่าจำเลยปลูกอาคารบ้านพักในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ จึงพิพากษายกฟ้อง ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีแล้ว เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุด โจทก์จะมาฟ้องคดีใหม่ว่าจำเลยปลูกบ้านอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ อันเป็นการกล่าวอ้างในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ คดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดโดยฟังว่า จำเลยไม่ได้ปลูกอาคารบ้านพักในเขตที่ดินของโจทก์นั้น ผลของคดีย่อมผูกพันคู่ความ โจทก์จะมากล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยยังคงกระทำละเมิดต่อโจทก์อยู่ตลอดเวลาและฟ้องเรียกค่าเสียหายหาได้ไม่ เพราะประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในคดีก็คือ จำเลยปลูกอาคารบ้านพักในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ เช่นเดียวกับคดีที่ได้พิพากษาไปแล้วนั่นเองฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนอาคารบ้านพักและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากเขตที่ดินของโจทก์และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งข้อหาละเมิดและขับไล่ ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ และคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมพนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาทำการปลูกสร้างอาคารรุกล้ำในเขตคลองชลประทานหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีโจทก์คดีนี้เป็นผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นฟังว่า บ้านจำเลยอาจปลูกอยู่นอกเขตที่ดินของกรมชลประทาน จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย โดยพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 367/2525ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและให้จำเลยออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่4160 ตำบลเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่มาศาล จำเลยแถลงขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์ซึ่งมีภาระการพิสูจน์ไม่มีพยานนำสืบ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยปลูกอาคารบ้านพักในเขตที่ดินของโจทก์ พิพากษายกฟ้องตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 570/2528 ของศาลชั้นต้น โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้
พิเคราะห์แล้ว คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 570/2528 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 570/2528ของศาลชั้นต้น ศาลยังไม่ได้พิจารณาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในประเด็นแห่งคดีแต่อย่างไร เนื่องจากคดีดังกล่าวไม่ได้มีการนำพยานเข้าสืบเพื่อให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 570/2528 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่จำเลยแถลงขอเมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่โจทก์กลับไม่มีพยานมาสืบในประเด็นที่ว่า จำเลยปลูกอาคารบ้านพักในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้น ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีนั้นแล้ว เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุดโจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้โดยกล่าวหาว่าจำเลยปลูกบ้านอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ อันเป็นการกล่าวอ้างในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ที่โจทก์ฎีกาในข้อต่อไปว่า หลังจากที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 570/2528 แล้ว จำเลยก็ยังกระทำละเมิดต่อโจทก์อยู่ตลอดเวลา เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งฟ้องของโจทก์คดีนี้มีประเด็นเรื่องค่าเสียหายซึ่งเป็นประเด็นใหม่ไม่มีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 570/2528 ของศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า เมื่อคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 570/2528ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดโดยฟังว่าจำเลยไม่ได้ปลูกอาคารบ้านพักในเขตที่ดินของโจทก์ ผลของคดีย่อมผูกพันคู่ความ โจทก์จะมากล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยยังคงกระทำละเมิดต่อโจทก์อยู่ตลอดเวลาและเรียกค่าเสียหายหาได้ไม่ เพราะประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในคดีนี้ก็คือ จำเลยปลูกอาคารบ้านพักในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ เช่นเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 570/2528 ของศาลชั้นต้นนั่นเอง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และยกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน