แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยทั้งสองบอกเลิกสัญญาก่อนจะถึงกำหนดการโอนเท่ากับจำเลยได้สละเงื่อนเวลาที่จะไปโอนที่ดินให้โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ก่อนกำหนดเวลาตามสัญญาได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ไปโอนให้โจทก์ตามนัด จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา การซื้อขายตัวทรัพย์ซึ่งมิใช่เป็นการขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนจะทำได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน เมื่อยังมิได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาท การที่จำเลยที่ 2 เอาทรัพย์มาทำสัญญาจะขายให้โจทก์โดยทายาทอื่นมิได้ยินยอมด้วยจึงไม่มีผลผูกพัน จะฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามสัญญามิได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางคอตีเยาะ จำเลยที่ 1 และนางคอตีเยาะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 10641 ร่วมกัน เมื่อปี 2529นางคอตีเยาะถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอรับโอนมรดกที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยทายาทอื่นยินยอม ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา 837,500 บาทการทำสัญญาของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำแทนนางคอตีเยาะหลังจากนั้นโจทก์ได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้มีชื่อไร่ละ50,000 บาท ซึ่งจะได้กำไร 837,500 บาทแต่ก่อนถึงกำหนดวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ จำเลยทั้งสองกลับบอกเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุที่จะเลิกได้ จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและทำให้โจทก์เสียหายและตามสัญญาจำเลยทั้งสองรับเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หากโจทก์ต้องจ่ายเงินดังกล่าวสำรองไปก่อนโจทก์ขอนำเงินดังกล่าวมาหักจากเงินส่วนที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยด้วยขอให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 10641 เฉพาะส่วนของนางคอตีเยาะผู้ตาย แล้วให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์และจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ และรับค่าที่ดินที่ค้างอยู่จากโจทก์เป็นเงิน 757,500 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โดยให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียม ค่าภาษีเงินได้ ค่าอากรไปก่อน แล้วนำมาหักจากเงินที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลยทั้งสอง หากไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำ80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายและค่าปรับแก่โจทก์เป็นเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยเพิ่มและต่อเติมสัญญาในข้อ 4 และที่หัวสัญญาให้แตกต่างไปจากข้อตกลงเดิมซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญา โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและสัญญาไม่มีข้อตกลงว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ออกเงินค่าธรรมเนียมและค่าอากร จำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาแทนนางคอตีเยาะ และมิได้รับความยินยอมจากทายาทอื่น สัญญาจะซื้อขายไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ทั้งไม่มีสิทธิขอหักเงินค่าธรรมเนียมกับค่าอากรออกจากเงินที่ขาย ขอให้ยกฟ้องและขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองให้โจทก์รับเงินมัดจำ 80,000 บาท คืนไปจากจำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ต่อเติมสัญญา จำเลยทั้งสองต้องปฏิบัติตามสัญญา ไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้เพิกถอนสัญญา ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 10641 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ส่วนของจำเลยที่ 2แก่โจทก์ ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ไปจดทะเบียนโอนดังกล่าวก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 328,750 บาท และชำระให้จำเลยที่ 2เป็นเงิน 154,250 บาท แต่ให้โจทก์มีสิทธิหักค่าธรรมเนียมและค่าอากรในการจดทะเบียนโอนและค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่โจทก์ได้จ่ายทดรองไปก่อนจากจำนวนเงินที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยดังกล่าวได้และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วย
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำ 30,000 บาท และ 50,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าจำเลยทั้งสองบอกเลิกสัญญาแล้วหรือไม่ และการบอกเลิกมีผลตามกฎหมายเพียงใดนั้น เห็นว่าข้อความที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์ต่อเติมนั้นไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้จำเลยทั้งสองโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ไม่ได้ เหตุที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนน่าจะเป็นเพราะที่ดินมีราคาสูงขึ้นไปมากกว่า จึงคิดบิดพริ้ว*จะเอาไปขายให้ผู้อื่นที่ให้ราคาสูงขึ้นไปอีก การที่จำเลยทั้งสองบอกเลิกสัญญาก่อนจะถึงกำหนดการโอนก็เท่ากับจำเลยทั้งสองได้สละเงื่อนเวลาที่จะไปโอนที่ดินให้โจทก์ในวันที่ 1 ตุลาคม 2531 โจทก์จึงมีสิทธิบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ก่อนกำหนดเวลาตามสัญญาได้เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ไปโอนให้โจทก์ตามนัด จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์และให้จำเลยทั้งสองรับเงินจากโจทก์หรือไม่เพียงใดเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่งแล้วผิดสัญญา โจทก์ย่อมฟ้องให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้กึ่งหนึ่งและโจทก์ต้องชำระราคาที่ดินให้จำเลยที่ 1 เป็นเงินส่วนหนึ่งจำนวน 418,750 บาท
สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะจำเลยที่ 2ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาท นางคอตีเยาะภริยาจำเลยที่ 2ซึ่งมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอยู่กึ่งหนึ่งได้ตายแล้ว ที่ดินพิพาทส่วนของนางคอตีเยาะซึ่งตกเป็นมรดกแก่จำเลยที่ 2 และบุตรอีก 5 คน โดยเฉพาะนายวัลลภบุตรคนหนึ่งอายุ 19 ปียังเป็นผู้เยาว์ และสัญญาที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์นั้นได้ตกลงซื้อขายตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุในโฉนดทั้งหมด เห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายตัวทรัพย์ซึ่งมิใช่เป็นการขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 จะกระทำได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคนเมื่อยังมิได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาท การที่จำเลยที่ 2 เอาตัวทรัพย์มาทำสัญญาจะขายให้โจทก์โดยทายาทคนอื่นมิได้ยินยอมด้วยจึงไม่มีผลผูกพัน เพราะที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ขอนางคอตีเยาะเป็นมรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปันระหว่างทายาท ทายาทคนใดคนหนึ่งจะเอาไปขายมิได้หากไปตกลงขายก็ถือว่าทำไปโดยไม่มีสิทธิ และไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตจากศาลขายที่ดินพิพาทส่วนของนายวัลลภซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ด้วย ดังนั้นโจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามสัญญามิได้
ปัญหาข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือไม่เพียงใด เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ชำระค่าปรับแก่โจทก์คนละ 50,000 บาทนั้นสมควรแล้ว และโจทก์มีสิทธินำค่าเสียหายนี้ไปหักกลบลบหนี้กับราคาที่ดินที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ และจำเลยที่ 2ต้องคืนเงินมัดจำ 40,000 บาท ส่วนที่จำเลยที่ 2 รับให้โจทก์และจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียม ค่าอากรแสตมป์และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามสัญญาแทนโจทก์หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระ โจทก์มีสิทธิจ่ายทดรองไปก่อน แล้วคิดหักจากราคาที่ดินที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลยที่ 1 ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 10641 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งของทั้งแปลงแก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินซึ่งหักเงินมัดจำแล้ว 40,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 378,750 บาท แต่ให้โจทก์มีสิทธิหักค่าธรรมเนียมและค่าอากรในการจดทะเบียนโอนและค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่โจทก์ได้จ่ายทดรองไปก่อน กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยโจทก์มีสิทธินำเงินค่าเสียหายนี้ไปหักกลบลบหนี้กับราคาที่ดินที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาท และคืนเงินมัดจำ 15,000 บาท และ 25,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย