คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ จำเลยเช่าที่ดินจาก อ. กับพวกเจ้าของที่ดินเดิม ต่อมาโจทก์ประสงค์จะใช้ที่ดินได้บอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินกับจำเลยให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวาร และใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า ห้องแถวไม่ใช่ของจำเลย จำเลยไม่ได้ละเมิดโจทก์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ห้องแถวเป็นของผู้ร้องสอดและโจทก์ตกลงขายที่ดินให้ผู้ร้องสอดแล้ว โดยตกลงให้ตึกแถวของผู้ร้องสอดตั้งอยู่ในที่เดิมได้ โจทก์มีหน้าที่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย คำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้บังกับจำเลยรื้อถอนห้องแถวและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกไปจากที่ดินเช่นนี้มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้ร้องสอด คำร้องของผู้ร้องสอดดังกล่าวเป็นคำร้องเพื่อขอคุ้มครองสิทธิของผู้ร้องสอดอันเกิดจากข้อพิพาทคดีนี้ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีส่วนได้เสียในมูลความแห่งคดีย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอเข้าเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด ซึ่งแม้คำร้องสอดจะกล่าวว่าขอเข้าเป็นคู่ความร่วม แต่เนื้อหาแห่งคำร้องก็เป็นการขอเข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) แล้วศาลย่อมพิจารณาคำร้องสอดตามเนื้อหาที่ปรากฏนั้นได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินจากนายอำนวย กับพวกเพื่อปลูกห้องแถวไม้ชั้นเดียว ต่อมาที่ดินที่จำเลยเช่าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่า จึงได้บอกเลิกสัญญา กับให้จำเลยรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนห้องแถวและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยมิใช่เจ้าของบ้านที่โจทก์ฟ้องขอให้รื้อถอน และจำเลยก็มิได้อาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว จำเลยมิได้ทำละเมิดโจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า บ้านที่โจทก์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์เป็นบ้านของผู้ร้องสอดมิใช่ของจำเลยผู้ร้องสอดกับบุคคลในครอบครัวมิใช่บริวารของจำเลย ผลแห่งคำพิพากษาอาจทำให้ผู้ร้องสอดเสียหายโจทก์ได้ตกลงจะขายที่ดินตามฟ้องเนื้อที่๕๐ ตารางว่า ให้แก่ผู้ร้องสอดราคา ๑๐๐,๐๐๐ บาท ผู้ร้องสอดชำระราคาไปแล้วบางส่วนเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท โจทก์ต้องโอนที่ดินตามฟ้องให้แก่ผู้ร้องสอดและรับราคาส่วนที่เหลือ จึงขอร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมและขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องของผู้ร้องสอดเป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่ว่า ผู้ร้องสอดกับโจทก์ได้ตกลงซื้อขายที่ดินที่ปลูกห้องแถวพิพาทกันแล้วจึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องสอดตั้งสิทธิขึ้นมาเองโดยลำพัง ไม่ชอบที่จะขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๒) จึงไม่อนุญาตให้เข้าเป็นจำเลยร่วม ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์จำเลยเช่าที่ดินจากนายอำเภอกับพวกเจ้าของที่ดินเดิมต่อมาโจทก์ประสงค์จะใช้ที่ดินได้บอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินกับจำเลยให้จำเลยรื้อห้องแถวไม้ชั้นเดียวและขนย้ายทรัพย์บริวารออกจากที่ดิน และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า ห้องแถวไม่ใช่ของจำเลย จำเลยไม่ได้ละเมิดโจทก์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ห้องแถวเป็นของผู้ร้องสอดและโจทก์ตกลงขายที่ดินตามฟ้องให้แก่ผู้ร้องสอดแล้วโดยตกลงให้ห้องแถวของผู้ร้องสอดตั้งอยู่ในที่เดิมได้ ไม่ต้องเคลื่อนย้ายไป ทั้งโจทก์ยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินด้วย ดังนี้ เป็นการที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าห้องแถวเป็นของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดมีสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามฟ้อง โดยมีข้อตกลงตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ให้ห้องแถวตั้งอยู่ในที่เดิมผู้ร้องสอดจึงไม่ต้องรื้อห้องแถวออกไป ฉะนั้นที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนห้องแถวและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินจึงมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้ร้องสอด คำร้องของผู้ร้องสอดจึงเป็นคำร้องเพื่อขอคุ้มครองสิทธิของผู้ร้องสอดอันเกิดจากข้อพิพาทคดีนี้ ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีส่วนได้เสียในมูลความแห่งคดีย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอเข้าเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๑) ซึ่งแม้ว่าคำร้องสอดจะกล่าวว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วมก็ตาม แต่เนื้อหาแห่งคำร้องก็มีลักษณะเป็นการขอเข้ามาตาม มาตรา ๕๗(๑) แล้วศาลย่อมพิจารณาคำร้องสอดตามเนื้อหาที่ปรากฏนั้นได้
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ให้ศาลชั้นต้นดำเนินคดีต่อไปตามกระบวนความ.

Share