แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กำหนดเวลาให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วันตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) นั้น เป็นกำหนดเวลาให้ฟ้องคดี ถ้ามิได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาย่อมไม่มีอำนาจฟ้องมิใช่เป็นอายุความในการเรียกร้องสิทธิใด ๆ และกำหนดเวลาเช่นว่านี้แม้ไม่ได้เป็นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 แต่ก็ถือว่าเป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจขยายหรือย่นระยะเวลาให้โจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ประกอบด้วยมาตรา 17 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่าการประเมินชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์จะต้องอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดเวลา30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตาม ประมวลรัษฎากรมาตรา 30(2) ก็ตาม แต่ขณะที่โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์นั้น ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จึงไม่อาจยื่นฟ้องจำเลยภายในกำหนดเวลาตาม มาตรา 30(2)ดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 17 อีกทั้งโจทก์ก็ยังไม่มีเหตุที่จะต้องใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลเพราะในขณะนั้นคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยว่าการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ยังมีผลผูกพันคู่ความอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ประกอบพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรกลางฯ มาตรา 17 พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่โจทก์ไม่อาจขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ต่อศาลก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยที่ศาลพึงขยายระยะเวลาให้โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 17 จ. ซื้อที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2511 แล้วทิ้งไว้นานจนถึงปี 2523 จึงได้ขายไป รวมระยะเวลาถือครองมานานถึง 12 ปี โดยมิได้มีการพัฒนาปรับปรุงสภาพที่ดินให้ดีขึ้นเพื่อจะให้มีราคาสูงขึ้นและรีบขายไปภายในระยะเวลารวดเร็วเหตุที่ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวก็เพื่อหักหนี้ที่สามีของผู้ขายที่ดินค้างชำระอยู่ส่วนหนึ่งด้วยซึ่งถือว่าจ. จำเป็นต้องซื้อที่ดินแปลงนี้เพื่อมิให้หนี้ของตนต้องสูญเสียไปถือได้ว่า จ. ซื้อที่ดินแปลงนี้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แม้ว่าขณะขายที่ดินแปลงนี้ จ. จะมีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรก็ตาม จ. ก็ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินแปลงนี้มารวมคำนวณภาษีตาม มาตรา 42(9) ทั้งนี้เพราะต้องพิจารณาเจตนาของผู้ได้มาในขณะได้มาว่าเป็นการได้มาโดยมีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ (วรรคหนึ่งและวรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2532)
ย่อยาว
โจทก์ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้จากกองมรดกของนายจรูญ วัฒนากร ผู้จัดการมรดกของนายจรูญได้อุทธรณ์การประเมินแล้วก่อนที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จำเลยได้ยื่นฟ้องผู้จัดการมรดกของนายจรูญให้ชำระหนี้ภาษีอากรตามที่แจ้งประเมิน ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีอำนาจฟ้อง โดยไม่ได้วินิจฉัยว่าการประเมินชอบหรือไม่ และพิพากษายืนระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ว่า การประเมินชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่เห็นด้วยแต่โจทก์ถือตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางว่าการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเห็นว่ายังไม่สามารถฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนการประเมินได้ เพราะจะเป็นฟ้องซ้อน จึงมิได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดขอให้ศาลภาษีอากรกลางขยายระยะเวลาให้โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ดังกล่าว ศาลภาษีอากรกลางอนุญาตให้ขยายระยะเวลาให้โจทก์ตามคำร้อง โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมินเลขที่ 1048/1/79210และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 284/2530/1 และขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 74217-74238 รวมที่ดิน 22 แปลง 22 โฉนดซึ่งตั้งอยู่ที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากรคำสั่งศาลภาษีอากรกลางที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาไม่ชอบด้วยกฎหมายการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินเลขที่ 1048/1/79210 ลงวันที่ 30 มกราคม 2530 ของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 284/2530/1 ลงวันที่ 2 กันยายน 2530 กับให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 74217-74238 รวม 22 แปลง 22 โฉนดแขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยประการแรกมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในข้ออุทธรณ์อ้างว่าศาลภาษีอากรกลางไม่มีอำนาจขยายระยะเวลา เพราะเป็นอายุความในการฟ้องคดีและมิใช่กำหนดระยะเวลาในทางพิจารณาความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 หรือระยะเวลาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า กำหนดเวลาให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายใน30 วัน เป็นการกำหนดเวลาให้ฟ้องคดี ถ้ามิได้ฟ้องภายในกำหนดย่อมจะไม่มีอำนาจในการฟ้องคดีมิใช่เป็นอายุความในการเรียกร้องสิทธิใด ๆและถึงแม้ไม่ได้เป็นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 แต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากรศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจขยายหรือย่นระยะเวลาให้โจทก์ได้โดยอาศัยอำนาจประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบด้วยมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อต่อไปมีว่า กรณีของโจทก์เป็นเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะขยายระยะเวลาให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำร้องของ โจทก์ว่า คดีนี้เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้จากกองมรดกของนายจรูญ วัฒนากร ผู้จัดการมรดกของนายจรูญยื่นอุทธรณ์การประเมิน ต่อมาก่อนที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยได้ฟ้องโจทก์ให้ชำระหนี้ภาษีอากรรายนี้ ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมายพิพากษายกฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีอำนาจฟ้อง โดยไม่ได้วินิจฉัยว่า การประเมินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และพิพากษายืน ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบโดยวินิจฉัยว่าการประเมินชอบด้วยกฎหมายแล้ว ดังนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่าการประเมินชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์จะต้องอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดเวลา 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30(2) ก็ตาม แต่เมื่อได้ความจากคำร้องของ โจทก์ว่า ขณะที่โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์นั้น ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์จึงไม่อาจยื่นฟ้องจำเลยภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 30(2)ดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17อีกทั้งโจทก์ก็ยังไม่มีเหตุที่จะต้องใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาล เพราะในขณะนั้นคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยว่าการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ยังมีผลผูกพันคู่ความอยู่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17พฤติการณ์แห่งคดีดังที่ได้วินิจฉัยมา นับว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่โจทก์ไม่อาจขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ต่อศาลก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยที่ศาลพึงขยายระยะเวลาให้โจทก์ได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางอนุญาตให้ขยายระยะเวลาให้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามคำร้องชอบแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ประการสุดท้ายมีว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งมีประเด็นข้อโต้เถียงกันแต่เพียงว่าที่นายจรูญซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 4936 ตำบลคลองเตยอำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร แล้วขายไปนั้น เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่เห็นว่าการที่นายจรูญซื้อที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 แล้วทิ้งไว้นานจนถึงปี พ.ศ. 2523 จึงได้ขายที่ดินไป รวมระยะเวลาถือครองนานถึง 12 ปี ส่อแสดงให้เห็นว่านายจรูญได้ที่ดินมาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร เพราะหากนายจรูญมีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแล้ว นายจรูญก็ควรที่จะรีบขายไปภายในเวลารวดเร็วโดยน่าจะมีการพัฒนาปรับปรุงสภาพที่ดินให้ดีเพื่อจะให้มีราคาสูงขึ้นก่อนขายด้วย แต่ก็ไม่ปรากฏว่านายจรูญได้กระทำการอันเป็นปกติวิสัยของผู้ที่มีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรพึงกระทำดังกล่าวไม่โดยเฉพาะคำเบิกความของนางสาวจำนงค์ วัฒนากร นายสนิท วัฒนากรและนายคำ โพธาราม ที่เบิกความตรงกันโดยฝ่ายจำเลยมิได้สืบโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เหตุที่นายจรูญซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อหักหนี้ที่นายประสานหรือไพศาลสามีของนางบุญชูค้างชำระอยู่ส่วนหนึ่ง ยิ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นเจตนาของนายจรูญได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้นว่า ซื้อที่ดินแปลงนี้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแต่อย่างใด หากแต่จำเป็นต้องซื้อเพื่อมิให้หนี้ของตนต้องสูญเสียไป ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ก่อนหน้าที่จะขายที่ดินแปลงนี้ นายจรูญเคยซื้อมาขายไปซึ่งที่ดินจำนวนหลายแปลง ทั้งที่ซื้อขายในนามของตนเองและในนามของบริษัท จ.ฉ.วัฒนา จำกัด ซึ่งนายจรูญเป็นกรรมการผู้จัดการก็ดีนายจรูญขายที่ดินแปลงนี้ไปได้กำไรเพิ่มขึ้นถึง 5.5 เท่าตัวซึ่งได้กำไรมากกว่านำเงินไปฝากธนาคารมากก็ดี นายจรูญจำเป็นต้องมีรายได้จากการค้าที่ดินมาใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งก็ดีรวมทั้งการที่นายจรูญมีที่ดินจำนวนมากถึง 104 แปลง ซึ่งผิดปกติไปจากบุคคลธรรมดาที่ควรจะมีไว้เพื่ออยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ส่วนตัวก็ดี พฤติการณ์ตามข้ออุทธรณ์ของจำเลยเหล่านี้ แม้ว่าจะส่อแสดงว่าขณะขายที่ดินแปลงนี้นายจรูญมีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรก็ตาม แต่เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันจะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) นั้นกฎหมายระบุว่าต้องเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แสดงว่า ต้องพิจารณาเจตนาของผู้ได้มาในขณะได้มาว่าเป็นการได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้จากการวินิจฉัยไว้แล้วว่า ขณะซื้อที่ดินแปลงนี้นายจรูญยังมิได้มีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแม้จะมีที่ดินแปลงอื่นที่นายจรูญได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรอันจะต้องเสียภาษี แต่ที่ดินแปลงพิพาทนายจรูญได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร เมื่อขายที่ดินแปลงดังกล่าวไปย่อมได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้จากการขายที่ดินแปลงนี้ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9)
พิพากษายืน