แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ฟ้องแย้งนอกจากจะเป็นคำให้การต่อสู้คดีแล้วยังต้องเป็นการเสนอข้อหาของจำเลยต่อโจทก์อันอาจมีผลให้เกิดการกระทบกระเทือนถึงสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ นอกเหนือจากที่จะเกิดตามปกติจากคำฟ้องและคำให้การ การที่จำเลยที่ 1 ให้การว่าสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ขอถือคำให้การนี้เป็นฟ้องแย้งตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวหากศาลพิจารณาแล้วเห็นเป็นเช่นนั้น ย่อมมีผลทำให้สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้รับการบังคับให้ตามกฎหมาย ซึ่งก็คือสัญญากู้ยืมถูกเพิกถอนและทำลายไปนั่นเอง หาได้มีผลกระทบถึงสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์นอกเหนือจากคำฟ้องแต่อย่างใด คำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงมีสภาพเป็นเพียงคำให้การ หาใช่ฟ้องแย้งไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญายืมบัญชีเดินสะพัด ค้ำประกัน และจำนองเป็นเงิน 14,162,743.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี จากเงินต้นรวม 12,759,484.94 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระ ขอให้บังคับจำนองที่ดินที่นำมาจำนอง 3 แปลง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องเคลือบคลุม สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระงับ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี สัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่าให้โจทก์ฟ้องคดีได้ทันทีในกรณีผิดนัด การที่จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมและฝ่าฝืนเจตนาของคู่สัญญา สัญญากู้ยืมเงินจึงเป็นโมฆะ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเพิกถอนและทำลายสัญญากู้ยืมเงินรวมทั้งสัญญาค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ แต่ไม่รับฟ้องแย้งโดยเห็นว่าหากฟังว่าสัญญาเป็นโมฆะศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องและจำเลยทั้งสองย่อมไม่ต้องรับผิดตามฟ้องกรณีต้องตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว ศาลไม่จำต้องพิพากษาเพิกถอนสัญญาอีก
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีกับโจทก์โดยอ้างว่าสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1เป็นโมฆะด้วยเหตุจำเลยที่ 1 สำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญาและฝ่าฝืนเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญา จำเลยที่ 1 ขอถือคำให้การนี้เป็นฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนและทำลายสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เห็นว่า ฟ้องแย้งนอกจากจะเป็นคำให้การต่อสู้คดีแล้ว ยังต้องเป็นการเสนอข้อหาของจำเลยต่อโจทก์อันอาจมีผลให้เกิดการกระทบกระเทือนถึงสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ นอกเหนือจากที่จะเกิดตามปกติจากคำฟ้องและคำให้การ ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 หากศาลพิจารณาแล้วเห็นเป็นเช่นนั้น ย่อมมีผลทำให้สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้รับการบังคับให้ตามกฎหมาย ซึ่งก็คือสัญญากู้ยืมถูกเพิกถอนและทำลายไปนั่นเอง หาได้มีผลกระทบถึงสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์นอกเหนือจากคำฟ้องแต่อย่างใด ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1จึงมีสภาพเป็นเพียงคำให้การ หาใช่ฟ้องแย้งไม่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน