คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5518/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กู้ยืมเงินโจทก์ 17,000บาท และจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ด้วยที่ดินพิพาทโดยถือว่าได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์และไม่เคยตกลงขายที่ดินให้โจทก์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยทั้งสองได้ขายให้แก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นคดีที่โต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองให้การหรือนำสืบโต้แย้งราคาที่ดินพิพาท จึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทมีราคา17,000 บาท และถือได้ว่าเป็นราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดีนี้เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู*ในขณะที่โจทก์ยื่นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 กู้ยืมเงินและมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยแล้ว ก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยไม่จำต้องก้าวล่วงไปฟังข้อเท็จจริงว่าการตกลงชำระหนี้ด้วยที่ดินพิพาทเป็นข้อตกลงที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 656 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมา จึงเป็นการนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การซึ่งไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิในการอุทธรณ์ โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากหนังสือสัญญา โดยฟังว่าจำเลยที่ 2 เพียงแต่กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย ฎีกาโจทก์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์17,000 บาท และตกลงชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์เป็นที่ดินและถือว่าจำเลยทั้งสองขายที่ดินให้โจทก์ จะจดทะเบียนโอนสิทธิให้ทันทีเมื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว ประมาณปี 2532 จำเลยทั้งสองขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วไม่จดทะเบียนโอนให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการโอน
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กู้ยืมเงินและไม่ได้ตกลงขายที่ดินพิพาทตามฟ้องให้แก่โจทก์ หนังสือสัญญาเป็นเอกสารปลอมที่โจทก์ทำขึ้นทั้งฉบับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อแรกที่อ้างว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากหนังสือสัญญาโดยฟังว่าจำเลยที่ 2 เพียงแต่กู้ยืมเงินไปจากโจทก์และมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยและข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยทั้งสองนำสืบมาฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์นั้นเห็นว่า ฎีกาโจทก์ข้อนี้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่เป็นการฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อต่อมาที่ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้กู้ยืมเงินโจทก์ 17,000 บาท และจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ด้วยที่ดินพิพาท โดยถือว่าได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์และไม่เคยตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองได้ขายให้แก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นคดีที่โต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อปรากฎว่าตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินจากโจทก์ไป 17,000 บาท และได้ขายที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นการชำระหนี้แทนการกู้ยืมเงิน ซึ่งไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองให้การหรือนำสืบโต้แย้งราคาที่ดินพิพาท จึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทมีราคา 17,000 บาท และถือได้ว่าเป็นราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดีนี้ ดังนั้น เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นฎีกา
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ประการสุดท้ายที่ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ข้อตกลงที่จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ด้วยที่ดินพิพาทเป็นการฝ่าฝืนต่อมาตรา 656 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งโจทก์ได้ยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้นั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัย เห็นว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 กู้ยืมเงินและมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยแล้วก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ โดยไม่จำต้องก้าวล่วงไปฟังข้อเท็จจริงว่าการตกลงชำระหนี้ด้วยที่ดินพิพาทเป็นข้อตกลงที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 656 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมาจึงเป็นการนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาท ตามคำฟ้องและคำให้การซึ่งไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิในการอุทธรณ์
พิพากษายืน

Share