คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 44 ไร่ 1 งาน ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3ตำบลบางนอน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้อง โดยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งแต่ พ.ศ. 2519 ตลอดมา เมื่อประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2530 จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นไม้ในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ 50 ตารางวา โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงตำแหน่งที่ดินพิพาทในบริเวณระบายสีแดง การละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายเดือนละ 12,100 บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และให้บังคับจำเลยดังนี้คำฟ้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วคำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินที่ทางราชการออกประทานบัตรทำเหมืองแร่ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. แล้วห้างฯ ดังกล่าวเลิกดำเนินการไป ทางราชการจึงให้ราษฎรเข้าจับจองโดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขตามบทกฎหมายข้างต้นที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นที่ดินของรัฐ โจทก์ได้ดำเนินการขออนุญาตจับจองตามที่กฎหมายกำหนด จนทางราชการอนุญาตให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้เป็นการชั่วคราวโดยออกใบจอง (น.ส.2) ให้เป็นหลักฐานโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน แม้ทางนำสืบของจำเลยจะได้ความว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2528 อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปีก็ตาม ก็เป็นการเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิได้รับอนุญาต ดังนั้นจำเลยจะอ้างเอาระยะเวลาการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อปี 2519 โจทก์ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน 1 แปลง ตั้งอยู่หมู่ที่ 3ตำบลบางนอน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง เนื้อที่ 44 ไร่1 งาน ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ต่อมาประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2530 จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นไม้ ปักเสารั้วไม้ในที่ดินแปลงที่โจทก์ครอบครองคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ 50 ตารางวาตามแผนที่สังเขปบริเวณระบายสีแดงเอกสารท้ายฟ้องโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนต้นไม้ เสาและรั้วไม้ออกจากที่ดินและห้ามเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นการละเมิดต่อโจทก์โจทก์ขอคิดค่าเสียหายจากการใช้ประโยชน์ที่ดินเดือนละ 12,100 บาทขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ให้จำเลยรื้อถอนต้นไม้ เสาและรั้วไม้ออกจากที่ดิน และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 12,100บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนต้นไม้เสาและรั้วไม้ออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้แสดงแนวเขตที่ดินตามเอกสารท้ายฟ้องว่าอยู่ห่างจากถนนเพชรเกษมไปทางทิศตะวันออกเท่าใดจดที่ดินของใครบ้างทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์หรือไม่ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตประทานบัตร เพื่อทำเหมืองแร่ซึ่งหมดอายุประทานบัตรแล้ว จำเลยเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2528 โดยปลูกต้นมะพร้าวต้นมะม่วงหิมพานต์ ต้นกล้วย และต้นสะตอ ทั้งได้ล้อมรั้วด้วยเสาปูนสลับเสาไม้เป็นแนวเขตทั้ง 4 ด้าน จำเลยรับว่าตำแหน่งอาณาเขตและเนื้อที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องซึ่งระบายสีแดงถูกต้องแต่ทิศเหนือจดถนนหรือทางสาธารณประโยชน์มิใช่ถนนที่โจทก์สร้างทำ หากฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายใน1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายเพราะที่ดินพิพาทไม่ใช่เป็นของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนต้นไม้ เสาไม้และรั้วไม้ออกจากที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.18 ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 750 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนต้นไม้ เสาไม้และรั้วไม้ออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาจำเลยว่าคำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 44 ไร่ 1 งาน ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3ตำบลบางนอน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้อง โดยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งแต่ พ.ศ. 2519 ตลอดมา เมื่อประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2530 จำเลยได้บังอาจบุกรุกเข้าไปปลูกต้นไม้ในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ 50 ตารางวา โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงตำแหน่งที่ดินพิพาทในบริเวณระบายสีแดงการละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายเดือนละ 12,100 บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และให้บังคับจำเลย ดังนี้คำฟ้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมที่จำเลยฎีกาอ้างเหตุว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ชัดแจ้งว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำประโยชน์อะไรและที่ตั้งของที่ดินพิพาทว่าอยู่ตรงไหน อาณาเขตกว้างยาวเท่าไหร่เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงที่ตั้งของที่ดินพิพาทและเวลาที่เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2519 จนถึงปัจจุบัน อาณาเขตกว้างยาวแม้ไม่ได้บรรยายฟ้องไว้แต่มีแผนที่สังเขปท้ายฟ้องระบุถึงอาณาเขตกว้างยาวไว้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ส่วนรายละเอียดนอกจากนี้โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา
ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินที่ทางราชการออกประทานบัตรทำเหมืองแร่ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด รัตนเกษตรทำเหมืองแร่แล้วห้างฯ ดังกล่าวเลิกดำเนินการไป ทางราชการจึงให้ราษฎรเข้าจับจองโดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขตามบทกฎหมายข้างต้นที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นที่ดินของรัฐ โจทก์ได้ดำเนินการขออนุญาตจับจองตามที่กฎหมายกำหนด จนทางราชการอนุญาตให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้เป็นการชั่วคราวโดยออกใบจอง (น.ส.2)ให้เป็นหลักฐาน โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน แม้ทางนำสืบของจำเลยจะได้ความว่า จำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่เดือนกรกฎาคม2528 อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปีก็ตามก็เป็นการเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิได้รับอนุญาตดังนั้นจำเลยจะอ้างเอาระยะเวลาการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้
พิพากษายืน

Share