แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่า หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้แจ้งให้ราษฎรในท้องที่ที่น้ำจะท่วมทราบถึงความรุนแรงของภาวะน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นโดยถูกต้องและทั่วถึงแล้ว ดังนั้นที่จำเลยที่ 1 เริ่มขนย้ายข้าวเปลือกไปเก็บรักษาที่อื่นก่อนถูกน้ำท่วมเพียง 3 วันจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อหรือละเลยเพิกเฉยไม่ป้องกันความเสียหายก่อนที่น้ำจะท่วมโรงสี และการที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถคืนข้าวเปลือกให้แก่โจทก์ได้ย่อมเป็นการชำระหนี้ที่กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ จำเลยที่ 1 เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 1,718,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,250,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์สินของนายสุวินท์ที่จำนองไว้ออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรเพื่อพยุงราคาข้าว โจทก์จึงทำสัญญาฝากเก็บและแปรสภาพข้าวเปลือกกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของโรงสีบุญธัญญกิจ ตามสัญญาลงวันที่ 17 มีนาคม 2518 โดยมีนายสุวินท์ สามีจำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) สองแปลงเป็นประกันการชำระหนี้ นายสุวินท์ถึงแก่กรรมแล้วมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นทายาทของนายสุวินท์ หลังจากทำสัญญากับจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรและนำฝากกับจำเลยที่ 1 ต่อมาโจทก์ให้จำเลยที่ 1 สีข้าวเปลือกเป็นข้าวสารและรับคืนไปแล้วบางส่วน คงเหลือข้าวเปลือกที่จำเลยที่ 1 รับฝากอีกประมาณ 500 ตัน ครั้นเดือนตุลาคม 2518 เกิดอุทกภัยทั่วอำเภออินทร์บุรี จำเลยที่ 1 ขนข้าวเปลือกของโจทก์ที่เหลืออยู่หนีน้ำได้ราว 100 ตัน นอกนั้นถูกน้ำท่วมเสียหายหมด
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยทั้งห้าต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ข้าวเปลือกที่โจทก์ฝากกับจำเลยที่ 1 ไว้ และเหลืออยู่ถูกน้ำท่วมเสียหายหมด การชำระหนี้คืนข้าวเปลือกดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแก่โจทก์จึงเป็นการพ้นวิสัย ที่โจทก์ฎีกาว่า ก่อนเกิดเหตุน้ำท่วมทางราชการได้แจ้งให้ราษฎรในเขตที่น้ำจะท่วมทราบแล้ว แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยประมาทเลินเล่อไม่ทำการป้องกันความเสียหายก่อนน้ำท่วมโรงสี ทั้งที่น้ำท่วมมิได้รวดเร็วถึงขนาดป้องกันไม่ได้นั้น ปรากฏจากคำเบิกความพยานจำเลยทั้งห้าว่า ก่อนเกิดเหตุน้ำท่วมทางราชการไม่ได้แจ้งเตือนให้ชาวบ้านทราบก่อน นอกจากนี้แล้ว หากหน่วยราชการทราบและตระหนักว่าเหตุน้ำท่วมในปี 2518 จะรุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นตามปกติและจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตทรัพย์สินของราษฎรแล้ว ทางราชการย่อมที่จะทำการประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงหรือระดมกำลังคนออกไปในท้องที่ต่างๆ เพื่อช่วยให้มีการอพยพผู้คนหรือขนย้ายทรัพย์สินของราษฎรให้พ้นจากการถูกน้ำท่วมยิ่งเสียกว่าจะแจ้งข่าวผ่านทางกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเพียงอย่างเดียว สำหรับโจทก์เองหากทราบว่าจะเกิดเหตุน้ำท่วมในท้องที่เกิดเหตุอย่างรุนแรง โจทก์ก็ย่อมจะไม่อยู่นิ่งเฉย คงจะต้องติดต่อแจ้งข่าวแก่จำเลยที่ 1 เพื่อขนย้ายข้าวเปลือกของโจทก์ให้รอดพ้นจากการถูกน้ำท่วมด้วย การที่โจทก์มิได้ดำเนินการใดๆ ทั้งที่โจทก์ทราบอยู่ว่าจำเลยที่ 1 เก็บรักษาข้าวเปลือกบนลานติดพื้นดินจึงเป็นข้อบ่งชี้ว่าโจทก์เองไม่ทราบ หรือมิได้เฉลียวใจเกี่ยวกับภาวะน้ำว่าจะท่วมรุนแรงมาก่อนเช่นเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่า หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้แจ้งให้ราษฎรในท้องที่ที่น้ำจะท่วมทราบถึงความรุนแรงของภาวะน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นโดยถูกต้องและทั่วถึงแล้ว ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 เริ่มขนย้ายข้าวเปลือกไปเก็บรักษาที่อื่นก่อนถูกน้ำท่วมเพียง 3 วัน จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อหรือละเลยเพิกเฉยไม่ป้องกันความเสียหายก่อนที่น้ำจะท่วมโรงสี และการที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถคืนข้าวเปลือกให้แก่โจทก์ได้ ย่อมเป็นการชำระหนี้ที่กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ จำเลยที่ 1 เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดแล้ว จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในฐานะทายาทของนายสุวินท์ ผู้จำนอง ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ประการแรกฟังไม่ขึ้น และไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ในเรื่องอายุความและเรื่องสัญญาจำนองต่อไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ