คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากตึกแถวพิพาทจนมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ทั้งสามเป็นฝ่ายชนะคดีและได้มีการบังคับคดีในเวลาต่อมา โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1และที่ 2 ไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ กรณีเป็นเรื่องมีผู้จัดการมรดกหลายคน โจทก์ทั้งสามแต่ละคนจะจัดการโดยลำพังไม่ได้ การกระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกต้องถือเอาเสียงข้างมาก ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2คัดค้านคำร้อง ของ โจทก์ที่ 3 ที่ขอให้งดการบังคับคดีกรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1726 โจทก์ที่ 3 ไม่อาจกระทำได้โดยลำพัง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเรียกค่าเสียหายศาลฎีกาพิพากษายืนให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทและส่งมอบตึกแถวคืนแก่โจทก์ทั้งสามในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับตึกแถวพิพาทนั้นอีก กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาและจำเลยทราบคำบังคับแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติโดยไม่ยอมออกไปจากตึกแถวพิพาท ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (1)
ต่อมาโจทก์ที่ 3 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539ขอให้งดการบังคับคดีกับจำเลยอ้างว่า ตึกแถวพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของกองมรดกของนางพรรณเพ็ญแข กฤดากร ที่โจทก์ที่ 3 มีสิทธิรับมรดกร่วมกับทายาทอื่นด้วย และโจทก์ที่ 3 ได้ตกลงขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 3 ให้แก่จำเลย ห้างหุ้นส่วนจำกัดสหบุญสินและบริษัทพี.แอนด์.บี เท็กซ์ไทล์ จำกัด พร้อมส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยกับพวกแล้ว โจทก์ที่ 3 ไม่ติดใจบังคับคดีในส่วนของโจทก์ที่ 3 กับจำเลยอีกต่อไป นอกจากนี้โจทก์ที่ 3 ได้เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดสหบุญสินแล้ว และที่ดินที่ตึกแถวพิพาทตั้งอยู่ส่วนหนึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ซึ่งมีจำเลยห้างหุ้นส่วนจำกัดสหบุญสิน บริษัทพี.แอนด์.บี เท็กซ์ไทล์ จำกัดและบุคคลภายนอกครอบครองอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งมีสิทธิดีกว่าโจทก์ที่ 1และโจทก์ที่ 2 คำพิพากษาของศาลจึงนำมาใช้บังคับกับจำเลยและบุคคลที่ครอบครองที่ดินอยู่ก่อนไม่ได้ ขอให้งดการบังคับคดีกับจำเลย
โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 แถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของนางพรรณเพ็ญแขซึ่งได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากตึกแถวพิพาทในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกดังกล่าวจนมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ทั้งสามเป็นฝ่ายชนะคดีและได้มีการบังคับคดีในเวลาต่อมาโดยที่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ ฉะนั้นโจทก์ทั้งสามแต่ละคนจะจัดการโดยลำพังไม่ได้กรณีเป็นเรื่องมีผู้จัดการมรดกหลายคน การกระทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกต้องถือเอาเสียงข้างมาก ดังนั้นเมื่อโจทก์ที่ 1และที่ 2 คัดค้านคำร้อง ของ โจทก์ที่ 3 ที่ขอให้งดการบังคับคดีเช่นนี้ กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1715 วรรคสาม และมาตรา 1726 โจทก์ที่ 3 จึงไม่อาจกระทำได้โดยลำพัง ส่วนข้ออ้างอื่น ๆ ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาให้เป็นอย่างอื่นได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share