แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่าลายมือชื่อให้ความยินยอมที่ปรากฏเป็นชื่อโจทก์เป็นลายมือปลอม และไม่มีส่วนคล้ายกับลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริง จึงเป็นการฟ้องข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีอยู่ในสำนวน เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินระหว่างนาวาเอกสุรศักดิ์กับจำเลย ตามสัญญาขายที่ดินฉบับลงวันที่17 กุมภาพันธ์ 2531 ให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 190,000 บาท นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์2531 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะจดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเสร็จสิ้นพร้อมกับค่าฤชากรและภาษีของราชการที่เรียกเก็บจนครบถ้วน
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นบุคคลภายนอกทำการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินคืนแก่นาวาเอกสุรศักดิ์ ถ้าจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนจำเลย คำขอนอกนั้นของโจทก์ให้ยกค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์จำเลยขอแถลงการณ์ด้วยวาจาเห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดีให้งดเสีย จำเลยฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยก่อน จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้ฟ้องและเบิกความยืนยันว่าลายมือชื่อให้ความยินยอมที่ปรากฏเป็นชื่อโจทก์เป็นลายมือปลอมและไม่มีส่วนคล้ายกับลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวน เพราะโจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน เห็นว่า โจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มาเบิกความยืนยันว่าลายมือชื่อให้ความยินยอมที่ปรากฏเป็นชื่อโจทก์เป็นลายมือปลอม และไม่มีส่วนคล้ายกับลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริง จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีอยู่ในสำนวน เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา สมควรพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบมาตรา 243(2)
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ