คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5501/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

มูลนิธิโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าซึ่งเป็นของโจทก์ โดยโจทก์ต้องการนำที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งห้องเช่านั้นไปสร้างศูนย์การค้า ถือได้ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของโจทก์ ทั้งไม่เป็นการกระทำเพื่อหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลอื่นใด หรือหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 โจทก์ชอบที่จะกระทำได้เพื่อที่จะหาผลประโยชน์ไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของโจทก์นั่นเอง จึงไม่ได้เป็นการกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทมูลนิธิ จำเลยทำสัญญาเช่าห้องเช่าเลขที่ 626/50 จากนายสวัสดิ์และนางสมร หนูรอดสินเจ้าของเดิม มีกำหนดเวลาเช่า 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม2515 ถึงวันที่ 7 มีนาคม 2535 ค่าเช่าเดือนละ 60 บาท ต่อมานายสวัสดิ์ นางสมรยกกรรมสิทธิ์ห้องเช่าดังกล่าวพร้อมด้วยที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงปฏิบัติตามสัญญาเช่าต่อมาเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการเช่าแล้วจำเลยก็ยังคงอยู่ในห้องเช่าเรื่อยมาครั้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2536 โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย จำเลยได้รับแจ้งเพิกเฉยไม่ยอมออกไปจากห้องเช่า ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากห้องเช่าเลขที่ 626/50 แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร และส่งมอบห้องเช่าแก่โจทก์โดยเรียบร้อย ห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเพื่อนำที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งห้องเช่าไปสร้างศูนย์การค้าเพื่อมุ่งหากำไรจึงขัดต่อกฎหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและขัดต่อวัตถุประสงค์ของมูลนิธิโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
วันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามคำฟ้องคำให้การคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดชี้สองสถาน งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องเช่าเลขที่ 626/50 แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสานกรุงเทพมหานคร และส่งมอบห้องเช่าคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยจำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเพื่อนำที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งห้องเช่าไปสร้างศูนย์การค้าเพื่อแสวงหากำไรไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 110 จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 ที่ชำระใหม่ บัญญัติว่า “มูลนิธิได้แก่ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษาหรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่งหาประโยชน์มาแบ่งปันกัน และได้จดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใดนอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง” เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าซึ่งเป็นของโจทก์ แม้จะฟังว่าโจทก์ต้องการนำที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งห้องเช่านั้นไปสร้างศูนย์การค้า ก็ถือได้ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิโจทก์ ทั้งตามฎีกาของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าการสร้างศูนย์การค้าดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลอื่นใด หรือหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน จึงหาได้ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 ไม่ แต่เป็นกรณีที่โจทก์ชอบที่จะกระทำได้เพื่อที่จะหาประโยชน์ไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของโจทก์นั้นเอง และได้บอกกล่าวเลิกการเช่าโดยชอบเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายจึงไม่ได้เป็นการกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด โจทก์จึงอำนาจฟ้องฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share