คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5501/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทหรือไม่ จำเลยไม่รับรองข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่แสดงชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องสิทธิครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง และแม้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรยกขึ้นวินิจฉัยก็ทำได้
บทบัญญัติแห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 มิได้ให้ถือว่าสัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปีเป็นโมฆะ เมื่อฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าและมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองที่พิพาทจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้แย่งการครอบครองที่พิพาท จึงไม่อาจนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และหรือจำเลยที่ ๒ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ หรือให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนได้ โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยที่ ๒ และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทหรือไม่ไม่รับรอง จำเลยที่ ๒ ไม่รับรองว่าโจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ หากมีสัญญาเช่ากันจริงก็ตกเป็นโมฆะ เพราะมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย ทั้งยังเป็นการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมนอกจากนี้สัญญาเช่ามิได้ปิดอากรแสตมป์จึงใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องคดีไม่ได้ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม๒๕๒๒ จำเลยที่ ๒ ได้ซื้ออาคารพร้อมที่พิพาทจากจำเลยที่ ๑ และเข้าครอบครองอาคารและที่พิพาทตั้งแต่วันซื้อตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๖ ปีเศษ โดยไม่มีผู้ใดทักท้วงอย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครอง ทั้งการบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่พิพาทและให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกไป กับทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิม ถ้าหากจำเลยทั้งสองไม่กระทำ ให้โจทก์รื้อถอนด้วยตนเอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรม นายประเวศ เกษมวันบุตรโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งก่อสร้างได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำให้การจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองต่อสู้แต่เพียงว่าโจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง ข้อต่อสู้จำเลยดังกล่าวจึงกล่าวอ้างลอย ๆไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องสิทธิครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องและแม้อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลเห็นสมควรจะยกขึ้นว่ากล่าวก็ได้ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ก็ทำได้ หาเป็นการวินิจฉัยโดยไม่ชอบไม่
ปัญหาว่าสัญญาเช่าตกเป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ ระบุว่า เช่าอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ท่านว่าการเช่านั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้ถือว่าสัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปีเป็นโมฆะ เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าและมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ส่วนปัญหาเรื่องการฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครอง เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ บัญญัติให้ผู้มีสิทธิครอบครองฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง อันเป็นการบัญญัติถึงระยะเวลาที่ผู้มีสิทธิครอบครองจะฟ้องเอาคืนการครอบครองซึ่งถูกแย่งไปได้ หากพ้นกำหนดระยะเวลา ๑ ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองแล้วผู้ครอบครองก็ไม่มีสิทธิฟ้อง ข้อนี้ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครอง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแย่งการครอบครองที่พิพาทจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้แย่งการครอบครองที่พิพาท แต่อยู่อาศัยในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ ๑ จึงไม่อาจนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ มาใช้บังคับในคดีนี้ได้
พิพากษายืน.

Share