คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5494/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 46 ประกอบด้วย มาตรา 15คำพิพากษาในคดีอาญาจะผูกพันแต่คู่ความเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2หาได้เป็นคู่ความในคดีอาญา ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทนั้น จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 จึงชอบที่จะยกข้อต่อสู้และนำสืบได้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาท และในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ ศาลก็ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จำเลยทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์สำหรับฟ้องเดิมของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ต่างไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย และทำให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กาย พนักงานอัยการจังหวัดสิงห์บุรีดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 1 ในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 49,302.60 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
ระหว่างพิจารณาโจทก์ทิ้งฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 เหตุที่รถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายค่าขาดประโยชน์อันควรได้และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแย้ง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น16,680 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน13,078 บาท แก่จำเลยที่ 2 พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายว่าในการพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในสำนวนคดีอาญาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทหรือไม่ ในปัญหานี้เห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 145แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กล่าวคือ คำพิพากษาในคดีอาญาจะผูกพันแต่คู่ความเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 หาได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าว ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทนั้น จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 จังชอบที่จะยกข้อต่อสู้และนำสืบได้ว่า จำเลยที่ 1มิได้เป็นฝ่ายประมาท และในการพิพากษาคดีนี้ ศาลก็ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในสำนวนคดีอาญาดังกล่าว แต่เป็นกรณีที่ต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่จากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบกันในสำนวนคดีนี้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า เหตุรถชนกันในคดีนี้เกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวนั้น เห็นว่า จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกั้นในชั้นฎีกาของโจทก์สำหรับฟ้องเดิมของโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ต่างไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share