คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5486/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2 ไปทำการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ และโจทก์จะชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ 2 พร้อมกัน ณ สำนักงานที่ดินเวลา 11 นาฬิกา ถึงวันนัด ต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าฝ่ายตนปฏิบัติตามสัญญา แต่อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม โดยจำเลยที่ 2 แถลงว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปและคอยโจทก์ที่สำนักงานที่ดินพร้อมด้วยเอกสารอันจำเป็นในการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ฝ่ายโจทก์ตั้งแต่เวลา 10.30 นาฬิกา ถึงเวลา 12 นาฬิกา ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ได้มอบให้ทนายโจทก์นำเอกสารการรับโอนสิทธิไปสำนักงานที่ดินเวลา 10.45 นาฬิกา และแจ้งทนายจำเลยทราบว่าโจทก์กำลังดำเนินการให้ธนาคารออกเช็คขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่ดินเตรียมเอกสารต่าง ๆในการทำนิติกรรมให้ และโจทก์ได้เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดเพื่อชำระให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 และเจ้าหน้าที่ที่ดินไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ตามสัญญา เช่นนี้ ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรศาลชั้นต้นชอบที่จะทำการไต่สวนให้ได้ความจริงเป็นยุติ โดยเฉพาะถ้าข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าได้ให้ทนายโจทก์ไปแจ้งต่อทนายจำเลยที่สำนักงานที่ดินว่าพร้อมที่จะรับโอนที่ดินเป็นความจริง จำเลยที่ 2ก็จะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเสียทีเดียวยังไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่นัดสอบถามแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัด เป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2ไปทำการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 181 หมู่ที่ 1 ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ให้แก่โจทก์ และโจทก์จะชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ 2 พร้อมกันในวันที่ 20 ตุลาคม 2532 เวลา 11 นาฬิกา ณ สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หากโจทก์ไม่ไปรับโอนพร้อมกับชำระค่าที่ดินทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 2 ตามกำหนดให้ถือว่าโจทก์ผิดนัด หากจำเลยที่ 2 ไม่ไปทำการโอนตามกำหนดยินยอมให้โจทก์ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาโอนของจำเลยที่ 2 แทนได้
ถึงวันกำหนดนัด ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดนัดศาลชั้นต้นนัดสอบถามแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดนัด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ จำเลยที่ 2 และโจทก์ยื่นคำแถลงเป็นหนังสือและคำร้องลงวันที่ 20 ตุลาคม 2532 เวลา 15.25 นาฬิกา และ 16.20 นาฬิกาตามลำดับ พร้อมสำเนาบันทึกถ้อยคำที่กระทำต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่าฝ่ายตนปฏิบัติตามสัญญาแต่อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม โดยจำเลยที่ 2 แถลงว่า จำเลยที่ 2ได้ไปและคอยโจทก์ที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม พร้อมด้วยเอกสารอันจำเป็นในการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ฝ่ายโจทก์ตั้งแต่เวลา10.30 นาฬิกา ถึงเวลา 12 นาฬิกา ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ได้มอบให้ทนายโจทก์นำเอาเอกสารการรับโอนสิทธิไปสำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม เวลา 10.45 นาฬิกา และแจ้งทนายจำเลยทนายว่าโจทก์กำลังดำเนินการให้ธนาคารออกเช็ค ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่ดินเตรียมเอกสารต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมให้และโจทก์ได้เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดเพื่อชำระให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 และเจ้าหน้าที่ที่ดินไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามสัญญา พิเคราะห์สำเนาบันทึกถ้อยคำที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ได้กระทำต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินประกอบแล้วเห็นว่า ตามคำแถลงของจำเลยที่ 2 และคำร้อง ของ โจทก์ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ศาลชั้นต้นยังมิได้ทำการไต่สวนให้ได้ความจริงเป็นยุติ โดยเฉพาะถ้าหากข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าได้ให้ทนายโจทก์ไปแจ้งต่อทนายจำเลยที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริมว่าพร้อมที่จะรับโอนที่ดินเป็นความจริง จำเลยที่ 2 ก็จะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเสียทีเดียวยังไม่ได้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าฝ่ายโจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้ไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 และโจทก์ตามคำแถลงและคำร้องลงวันที่ 20 ตุลาคม 2532 แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

Share