แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดเนื่องจากพ. เป็นผู้ขับรถของจำเลยที่ 1 และขณะเกิดเหตุปฏิบัติงานในกิจการของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าโจทก์มุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิด ในฐานะที่ พ. เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่อาจแปลว่ามุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในฐานะหุ้นส่วนของ พ. ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่า พ. ไม่ใช่ลูกจ้างปฏิบัติงานใน ทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นพิพาทในชั้นชี้สองสถานเพียงว่า พ. เป็นลูกจ้างของจำเลย ที่ 1 และกระทำในทางการที่จ้างหรือไม่ โจทก์ก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน คดีจึงมีประเด็นพิพาทในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 เพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลย ที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากเป็นหุ้นส่วนกับ พ.และพ. ก่อเหตุละเมิดขณะกระทำภายในขอบวัตถุประสงค์ของหุ้นส่วนจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น กรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขยกเว้นไม่คุ้มครองความรับผิด อัน เกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ตาม กฎหมายหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมาย การมีเงื่อนไขดังกล่าว ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีความสามารถทำการขับรถยนต์ที่เอาประกันภัยเพราะจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อันจะทำให้จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยต้องเสี่ยงภัยมากขึ้น เมื่อ พ. ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของกรมตำรวจย่อมมีความรู้ความสามารถในการขับรถยนต์ได้ แม้ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถของกรมการขนส่งทางบก ก็จะถือว่า เป็นการผิดเงื่อนไข ในกรมธรรม์ประกันภัยมิได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน10-5208 กรุงเทพมหานคร โดยเช่ามาจากบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัดจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน 80-1020สุโขทัย มีนายพิชัยฤกษ์เป็นผู้ขับ และมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2524 นายบุญธรรมพนักงานขับรถของโจทก์ได้ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์คันดังกล่าวจากจังหวัดอุตรดิตถ์มุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร ขณะแล่นมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้ง นายพิชัยฤกษ์ขับรถยนต์บรรทุกแล่นตามหลังมาด้วยความประมาทเลินเล่อชนท้ายรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหาย โจทก์เสียค่าซ่อมรถ 15,000 บาท ระหว่างซ่อมรถขาดประโยชน์เป็นเงิน 6,000 บาท และเสียค่าเช่ารถเป็นเงิน 3,320 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 24,320บาท ระหว่างเกิดเหตุนายพิชัยฤกษ์ปฏิบัติหน้าที่ขับรถในกิจการของจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 24,320บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นายพิชัยฤกษ์มิได้ประมาทเลินเล่อ เหตุเกิดเนื่องจากผู้ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์เป็นฝ่ายขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อ นอกจากนี้นายพิชัยฤกษ์มิใช่ลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า นายพิชัยฤกษ์มิใช่ลูกจ้างที่ทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่เกิดเหตุรถชนกันมิใช่เพราะความประมาทเลินเล่อของนายพิชัยฤกษ์ แต่สืบเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ นายพิชัยฤกษ์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ตามกฎหมายผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามสัญญาประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงิน 22,320 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่านายพิชัยฤกษ์กับจำเลยที่ 1 ร่วมประกอบกิจการอันถือได้ว่าเป็นหุ้นส่วนกัน นายพิชัยฤกษ์ก่อเหตุละเมิดขณะกระทำภายในขอบวัตถุประสงค์แห่งกิจการของหุ้นส่วน จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่าโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดเนื่องจากนายพิชัยฤกษ์เป็นผู้ขับรถของจำเลยที่ 1 และขณะเกิดเหตุปฏิบัติงานในกิจการของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์มุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในฐานะที่นายพิชัยฤกษ์เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่อาจแปลว่ามุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในฐานะหุ้นส่วนของนายพิชัยฤกษ์ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่านายพิชัยฤกษ์ไม่ใช่ลูกจ้างปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทในชั้นชี้สองสถานเพียงว่า นายพิชัยฤกษ์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และกระทำในทางการที่จ้างหรือไม่ โจทก์ก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน คดีจึงมีประเด็นพิพาทในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 เพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากเป็นหุ้นส่วนกับนายพิชัยฤกษ์ และนายพิชัยฤกษ์ก่อเหตุละเมิดขณะกระทำภายในชอบวัตถุประสงค์ของหุ้นส่วนจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 มิใช่นายจ้างของนายพิชัยฤกษ์จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยหรือไม่ เห็นว่า แม้ในกรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขยกเว้นไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ตามกฎหมายหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมาย การมีเงื่อนไขดังกล่าวก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีความสามารถทำการขับรถยนต์ที่เอาประกันภัย เพราะจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายอันจะทำให้จำเลยที่ 2 ต้องเสี่ยงภัยมากขึ้น เมื่อนายพิชัยฤกษ์ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของกรมตำรวจ ย่อมมีความรู้ความสามารถในการขับรถยนต์ได้ แม้ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถของกรมการขนส่งทางบก ก็จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยมิได้ จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2ชำระเงินจำนวน 22,320 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์.