แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทฟ้องเรียกเรือจากจำเลย จำเลยต่อสู้ว่า โจทขายไห้และมีหนังสือสัญญา โจทก์ว่าไม่ได้ขายเรือรายพิพาท และปรากตว่าขนาดกว้างยาวและน้ำหนักเรือตามที่ปรากตไนหนังสือสัญญาไม่ตรงกับเรือรายพิพาทดังนี้ คู่ความนำพยานบุคคลมาสืบได้.
ย่อยาว
โจทฟ้องว่าจำเลยเอาเรือของโจทไป ขอไห้คืนเรือและไช้ค่าเสียหาย
ได้ความว่า โจทมีเรือหยู่ ๒ ลำเปนเรือมาดลำหนึ่งอีกลำหนึ่งเปนเรือฉลอมทเลได้ขึ้นทเบียนต่อกรมเจ้าท่าแล้ว จำเลยขอซื้อเรือมาดจากโจทราคา ๒๐๐ บาท วางมัดจำไว้ ๒๐ บาท แล้วได้ไปทำสัญญากันที่อำเพอโดยจำเลยเป็นผู้บอกไห้เสมียนอำเพอตรอกข้อความลงไนสัญญาแทนโจท เส็ดแล้วจำเลยก็ไปเอาเรือฉลอมทเลซึ่งโจทไห้คนเฝ้าไว้ที่แห่งอื่นของโจทไป ไนหนังสือสัญญาซื้อขายมีตัวเลขหมายทเบียนเรือ น้ำหนักและขนาดกว้างยาวไม่ตรงกับเรือฉลอมทเลที่จำเลยเอาไป
สาลชั้นต้นและสาลอุธรน์ฟังว่าจำเลยเอาเรือฉลอมทเลของโจทไปโดยกลฉ้อฉล พิพากสาไห้จำเลยคืนเรือฉลอมทเลและค่าเสียหายแก่โจท
จำเลยดีกาว่า ตามหนังสือสัญญาซื้อขายปรากตว่าเปนเรือไบ สาลยอมไห้โจทสืบพยานบุคคลว่าเปนเรือมาดเปนการแก้ไขสัญญา
สาลดีกาเห็นว่า หนังสือสัญญานั้นไม่ได้สแดงว่า เรือที่ซื้อขายกันเปนเรือรายพิพาท เพราะขนาดกว้างยาวและน้ำหนักบันทึกไม่ตรงกับเลขทเบียนก็ผิดกัน เปนอันว่าปัญหาที่ว่าเรือที่โจทขายไห้จำเลยเปนเรือลำไดแน่ ต้องอาสัยชี้ขาดโดยพยานบุคคล คดีไม่ตกหยู่ไนบังคับประมวนกดหมายวิธีพิจารนาความแพ่งมาตรา ๙๔(ข) จึงพิพากสายืนตามสาลล่าง