คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5463/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับแล่นมาถึงบริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุก่อนรถยนต์คันที่ พ. ขับซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ พ.ย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 71(1) โดยต้องให้รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับ ผ่านไปเสียก่อนแต่ พ. กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เป็นเหตุให้เกิดชนกันขึ้น พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 71(1)เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์จะปกป้องบุคคลอื่น ๆ พ.ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายเช่นว่านั้นย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นฝ่ายผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 422

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๙ง-๑๖๑๐ กรุงเทพมหานคร จากนายชัยรัตน์ ชัยวิวัฒน์ จำเลยที่ ๑เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๒๗ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๓-๔๙๓๕ นครราชสีมา ของจำเลยที่ ๒ ในทางการที่จ้างหรือในกิจการเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาท เฉี่ยวชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยซ่อมแซมให้แล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน ๕๒,๘๘๑.๔๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน ๔๙,๑๙๒ บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๙๑-๑๖๑๐ กรุงเทพมหานคร ขณะเกิดเหตุสัญญาประกันภัยสิ้นสุดลงแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เหตุเฉี่ยวชนเกิดจากความประมาทเลินเล่อของคนขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้โจทก์ยังไม่ได้ซ่อมแซมรถยนต์คันดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าถนนพาณิชย์เจริญและถนนรามราชซึ่งตัดกันที่สี่แยกที่เกิดเหตุ ต่างเป็นทางเอกเหมือนกัน ดังนั้นผู้ขับขี่รถที่ผ่านทางสี่แยกดังกล่าว จำต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑(๑) และ (๒)กล่าวคือ ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน หรือถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน รถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับ แล่นมาถึงบริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุก่อนรถยนต์เก๋งซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้นายพิศิษฐ์ผู้ขับรถยนต์เก๋งย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา๗๑(๑) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ กล่าวคือ ต้องให้รถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับ ผ่านไปเสียก่อน แต่นายพิศิษฐ์กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เป็นเหตุให้เกิดชนกันขึ้น เช่นนี้เห็นว่าพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา ๗๑(๑) เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์จะปกป้องบุคคลอื่น ๆ นายพิศิษฐ์ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายเช่นว่านั้นย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นฝ่ายผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๒ เหตุที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันจึงมิใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑
พิพากษายืน

Share