แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับ ร. เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2516 ต่อมาผู้ร้องจดทะเบียนสมรสซ้อนกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2521 และจดทะเบียนหย่าจากกันเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2526 จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ. ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 การสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 จึงตกเป็นโมฆะ แต่เมื่อในระหว่างที่ผู้ร้องจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทยังไม่มีผู้มีส่วนได้เสียคนใดร้องขอต่อศาลให้การสมรสเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1495 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้นที่บัญญัติว่า คำพิพากษาศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสใดเป็นโมฆะ จึงต้องถือว่าการสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ยังมีผลสมบูรณ์อยู่ ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาระหว่างสมรสกับ ร. และจำเลยที่ 1 จึงเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๖๘ และ ๘๖๖๙ ตำบลทุ่งศุขลา อำเภอศรีราชา (บางพระ) จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ ๑ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านว่า ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรสเป็นกรรมสิทธิ์รวมของผู้ร้องกับ ร. ไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ ขอให้ถอนการยึด ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วเห็นว่า ทรัพย์สินดังกล่าวจำเลยที่ ๑ มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย จึงมีคำสั่งไม่ให้ถอนการยึด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นว่า ทรัพย์สินดังกล่าวจำเลยที่ ๑ มิได้มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย ขอให้เพิกถอนการยึด
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ทรัพย์สินดังกล่าวมีจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการยึด ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๖๖๘ และ ๘๖๖๙ ตำบลทุ่งศุขลา อำเภอศรีราชา (บางพระ) จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับ ร. เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๖ ในระหว่างสมรสผู้ร้องได้จดทะเบียนสมรสซ้อนกับจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ผู้ร้องซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๘๖๖๘ และ ๘๖๖๙ ตำบลทุ่งศุขลา อำเภอศรีราชา (บางพระ) จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ ต่อมาวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๖ ผู้ร้องและจำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า จำเลยที่ ๑ มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทกับผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสซ้อนกับจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ และจดทะเบียนหย่าขาดจากกันเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๖ กรณีจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติบรรพ ๕ แห่ง ป.พ.พ. ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งแม้ผู้ร้องจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสไม่ได้และการสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ ตกเป็นโมฆะก็ตาม แต่เมื่อในระหว่างที่ผู้ร้องจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทยังไม่มีผู้มีส่วนได้เสียคนใดร้องขอต่อศาลให้การสมรสเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. บรรพ ๕ ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๑๔๙๕ (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้นที่บัญญัติว่า คำพิพากษาศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสใดเป็นโมฆะแล้ว จึงต้องถือว่าการสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ ยังมีผลสมบูรณ์อยู่ ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาระหว่างสมรสกับ ร. และจำเลยที่ ๑ จึงเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ ด้วย โดยไม่ต้องคำนึงว่า จำเลยที่ ๑ มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นหรือออกเงินช่วยผู้ร้องชำระราคาที่ดินพิพาทหรือไม่ แม้ภายหลังผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ จะจดทะเบียนหย่าขาดจากกันโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายก็ต้องจัดการแบ่งที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องตามสิทธิที่ผู้ร้องมีอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๓๒ และ ๑๕๓๓ ผู้คัดค้านจึงมีสิทธิยึดที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาดำเนินการได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.