แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 ผู้ครอบครองทรัพย์จะรู้หรือไม่ว่ามีการขายทอดตลาดก็หาเป็นเหตุที่จะยกขึ้นต่อสู้สิทธิของผู้ซื้อทรัพย์ได้ไม่ แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอด แต่จำเลยมิได้ร้องคัดค้านเสียตั้งแต่ต้นกลับปล่อยให้มีการขายทอดตลาดจนสำเร็จบริบูรณ์โดยโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวไปแล้ว สิทธิครอบครองของจำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์บกพร่องซื้อที่ดินพิพาทโดยไม่สืบเรื่องราวก่อนว่ามีสิทธิหรือไม่ โดยมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องนำสืบว่าที่ดินพิพาทโจทก์ได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1206 ตำบลอ่างทอง อำเภอทับสะแกจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 36 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดที่ศาล จำเลยได้ปลูกบ้าน 2 หลัง อยู่บนที่ดินดังกล่าวโดยไม่มีอำนาจและขัดขวางไม่ให้โจทก์เข้าทำประโยชน์เป็นการละเมิด ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินดังกล่าว หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่าย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาทแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนออกไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โดยผู้มีชื่อยกให้จำเลยครอบครองติดต่อกันมากว่า10 ปีแล้ว นายสุวัชน์ผู้ขอออก น.ส.3 ก. ในที่ดินพิพาทไม่ฟ้องเอาคืนภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ผู้ซื้อภายหลังจึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืน น.ส.3 ก. เลขที่ 1206 ออกทับที่ดินพิพาทของจำเลย เนื้อที่ 19 ไร่ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย กับให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ส่วนที่ออกทับที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนจากการขายทอดตลาดของศาล ผู้มีชื่อที่จำเลยอ้างความจริงเป็นผู้ที่อยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิของผู้ขอออก น.ส.3 ก.และขณะขอออก น.ส.3 ก. ก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ขณะทำการยึดที่ดินพิพาทไม่ปรากฏว่ามีผู้อาศัยอยู่ จำเลยไม่คัดค้านการยึดจนกระทั่งขายทอดตลาดเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า
1. ที่ดินพิพาท 19 ไร่ ตามแผนที่ท้ายคำให้การจำเลย โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครอง
2. โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่เพียงใด
ศาลชั้นต้นเห็นว่าประเด็นข้อ 1 พอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานโจทก์จำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสืบพยานในประเด็นข้อ 1 และขอเพิ่มเติมประเด็นพิพาทอีก 1 ข้อ ว่าที่ดินพิพาทโจทก์ได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใด ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอสละประเด็นเรื่องค่าเสียหาย ไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หากไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้โดยจำเลยออกค่าใช้จ่าย ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอนได้โดยจำเลยออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องที่ขอให้เพิ่มประเด็น และมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 ผู้ครอบครองทรัพย์จะรู้หรือไม่ว่ามีการขายทอดตลาดก็หาเป็นเหตุที่จะยกขึ้นต่อสู้สิทธิของผู้ซื้อทรัพย์ได้ไม่ แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอด แต่จำเลยมิได้ร้องคัดค้านเสียตั้งแต่ต้นกลับปล่อยให้มีการขายทอดตลาดจนสำเร็จบริบูรณ์โดยโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวไปแล้ว สิทธิครอบครองของจำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาขอเพิ่มประเด็นว่าที่ดินพิพาทโจทก์ได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใดนั้น เห็นว่าจำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์บกพร่องซื้อที่ดินพิพาทโดยไม่สืบเรื่องราวก่อนว่ามีสิทธิหรือไม่ โดยมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องนำสืบว่าที่ดินพิพาทโจทก์ได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใด
พิพากษายืน