แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจำเลยทั้งห้าฎีกาว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม พยานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปตามฟ้องโดยมี น. เป็นผู้ค้ำประกันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง และที่จำเลยทั้งห้าฎีกาอีกว่าโจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่ น. ถึงแก่กรรมเกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความปรากฏว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยถึงปัญหาดังกล่าว เมื่อโจทก์อุทธรณ์จำเลยทั้งห้ามิได้ตั้งประเด็นข้อนี้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์ ถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ จึงเท่ากับเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน120,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้เงินโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนนายสิงโต นำเงินไปจ่ายให้ลูกค้าผู้กู้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากนายสิงโตเพียง 50,000 บาท และลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังไม่กรอกข้อความ ส่วนนางนวลลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันที่ยังไม่กรอกข้อความ นางนวลผู้ค้ำประกันถึงแก่กรรม ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 200,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 120,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์จริงตามฟ้อง โดยนางนวล เพียยุระ มารดาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกัน ต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องค้างชำระ 200,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อนางนวลถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงต้องร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ จำเลยทั้งห้าฎีกาว่าสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม พยานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่า พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปตามฟ้องโดยมีนางนวลเป็นผู้ค้ำประกัน เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 นำสืบได้ชัดเจนว่า นางนวลถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2527 โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์จำเลยทั้งห้ามิได้ตั้งประเด็นข้อนี้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์ถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ จึงเท่ากับเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งห้า