คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 542/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวในฟ้องชัดเจนว่า จำเลยแต่ละคนเข้ามาอาศัยที่ดินโจทก์ทำกินเป็นส่วนสัดตามแผนที่ท้ายฟ้องโจทก์ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย และโจทก์ก็ยังตีราคาที่ดินแต่ละส่วนที่จำเลยอาศัยมาด้วย จำเลยทั้งหมดจึงมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี โจทก์ชอบที่จะยื่นฟ้องจำเลยมาคนละสำนวน การที่โจทก์รวมฟ้องมาในสำนวนเดียวกัน และศาลชั้นต้นยอมรับฟ้องโจทก์ไว้ ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์มีมากกว่าที่ยื่นฟ้องแยกกันมาเป็นแต่ละสำนวน
โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมกันมา แต่คดีโจทก์สำหรับจำเลยแต่ละคนมีทุนทรัพย์เพียงสำหรับจำเลยที่ 1 จำนวน 1,000 บาท จำเลยที่ 2 จำนวน 2,500 บาท จำเลยที่ 3 จำนวน1,000 บาท และจำเลยที่ 4 จำนวน 1,500 บาทเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยโจทก์ คดีของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน 1 แปลง มีอาณาเขตตามแผนที่ท้ายฟ้องอยู่ที่บ้านกลาง ตำบลโนนโหนน อำเภอวารินทร์ชำราบจังหวัดอุบลราชธานี ราคา 20,000 บาท เมื่อประมาณ 8 ปีมานี้จำเลยที่ 1, 2, 3 และ 4 ได้ขออาศัยที่พิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องหมาย ป.1, 2, 3 และ 4 ตามลำดับ ที่ดินที่จำเลยทั้งสี่ขออาศัยหมาย ป.1 ราคา 1,000 บาท ป.2 ราคา 2,500 บาท ป.3 ราคา 1,000 บาท และ ป.4 ราคา 1,500 บาทตามลำดับ เมื่อเดือนมีนาคม 2512 โจทก์ยื่นเรื่องราวขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยร้องคัดค้านว่าเป็นของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามและขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่พิพาท

จำเลยทั้งสี่ให้การร่วมกันว่า ที่พิพาทเดิมเป็นป่ารกร้างผู้ใหญ่บ้านกลาง ตำบลโนนโหนน จัดสรรให้จำเลยทำกินตั้งแต่ปี 2499 จำเลยทุกคนไม่รู้จักกับโจทก์ และตัดฟ้องว่า โจทก์ถูกแย่งการครอบครองมาเกิน 1 ปีแล้ว ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่แสดงโดยชัดแจ้งแห่งข้อหาของโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์มาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์หมดสิทธิฟ้องเรียกคืน พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาเถียงข้อเท็จจริงว่า จำเลยเข้ามาขออาศัยโจทก์ทำในที่พิพาท

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์กล่าวมาชัดเจนว่า จำเลยแต่ละคนเข้ามาอาศัยที่ดินโจทก์ทำกินเป็นส่วนสัดตามแผนที่ท้ายฟ้องโจทก์โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย และโจทก์ยังตีราคาที่ดินแต่ละส่วนที่จำเลยอาศัยมาด้วย จำเลยทั้งสี่จึงมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี โจทก์ชอบที่จะยื่นฟ้องจำเลยมาคนละสำนวน การที่โจทก์รวมฟ้องมาในสำนวนเดียวกัน และศาลชั้นต้นยอมรับฟ้องโจทก์ไว้ ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์มีมากกว่าที่ยื่นฟ้องแยกกันมาเป็นแต่ละสำนวน คดีโจทก์สำหรับจำเลยแต่ละคนจึงมีทุนทรัพย์เพียงสำหรับจำเลยที่ 1 จำนวน 1,000 บาท จำเลยที่ 2 จำนวน 2,500 บาท จำเลยที่ 3 จำนวน 1,000 บาท และจำเลยที่ 4 จำนวน 1,500 บาทเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยโจทก์ คดีของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงทั้งหมด ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share