แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาที่ว่า ผู้ให้กู้กับผู้กู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล โดยผู้ให้กู้ยอมลดหนี้ให้บางส่วน จะเป็นเหตุให้หนี้ตามสัญญาเดิมระงับ อันเป็นผลให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม่นั้น ไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อคู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ ศาลจะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยเองหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลรวมพิจารณาพิพากษา โดยสำนวนแรก นายเชือนเป็นโจทก์ฟ้องว่า นางสวงจำเลยที่ ๒ หลอกลวงนายเชือนให้ลงชื่อในสัญญา ๒ ฉบับว่า เพื่อเป็นพยานในสัญญาที่นายเส้งจำเลยที่ ๑ กู้เงินนางสวงไป ต่อมานางสวงฟ้องจำเลยที่ ๑ และมีการบังคับคดียึดที่ดินของนายเชือน นายเชือนจึงทราบว่าที่ลงชื่อให้นางสวงไปนั้น มิใช่ลงชื่อเป็นพยาน แต่เป็นผู้ค้ำประกันนายเส้งซึ่งกู้เงินนางสวง ขอให้พิพากษาว่าสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นโมฆะ
นายเส้งจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้เอา ส.ค.๑ ของนายเชือนวางประกันเงินกู้ โดยนายเชือนไม่รู้เห็นด้วย
นางสวนจำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า เดิมที่ดินรายนี้เป็นของนายเชือนจริง แต่ต่อมาขายให้นายเส้ง ที่นายเชือนฟ้องคดีนี้ก็โดยสมยอมกับนายเส้ง
สำนวนหลัง นางสวงเป็นโจทก์ฟ้องนายเชือนว่า นายเชือนเป็นผู้ค้ำประกันนายเส้งซึ่งกู้เงินนางสวงไป ๒ คราว รวม ๙,๖๐๐ บาท ต่อมานายเส้งถูกนางสวงฟ้องและทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล ยอมชำระเงินให้นางสวง ๘,๕๐๐ บาท ชำระแล้ว ๑,๐๐๐ บาท นอกนั้นผิดสัญญา ขอให้บังคับนายเชือนชำระเงิน ๗,๕๐๐ บาทแก่นางสวง
นายเชือนต่อสู้อย่างเดียวกับคำฟ้องในสำนวนแรก และว่าตนไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นฟังว่า นายเชือนลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันด้วยความสมัครใจ แต่หนี้ที่นายเชือนค้ำประกันนั้น นายเส้งผู้กู้กับนางสวงผู้ให้กู้ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลให้นายเส้งชำระหนี้เพียง ๗,๕๐๐ บาท สัญญากู้เดิมระงับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒, ๒๔๙ นายเชือนผู้ค้ำประกันพ้นความรับผิดตามมาตรา ๖๙๘ แม้นายเชือนไม่ยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน พิพากษาว่าสัญญาค้ำประกันไม่เป็นโมฆะ แต่นายเชือนไม่ต้องรับผิด ให้ยกฟ้องนางสวง
นายเชือน และนางสวงอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่นายเส้งกับนางสวงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จะทำให้หนี้เดิมระงับไปหรือไม่นั้น ไม่เป็นสัญญาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนายเชือน ให้นายเชือนชำระเงิน ๗,๕๐๐ บาท แก่นางสวง พร้อมด้วยดอกเบี้ย
นายเชือนฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างว่า นายเชือนเป็นผู้ค้ำประกันด้วยความสมัครใจ มิได้เกิดจากการหลอกลวง
ปัญหาที่ว่า การที่นางสวงกับนายเส้งทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล โดยนางสวงยอมลดหนี้รายนี้จาก ๙,๖๐๐ บาท เหลือ ๘,๕๐๐ บาท จะเป็นเหตุให้หนี้ตามสัญญากู้เดิมระงับ อันเป็นผลให้นายเชือนหลุดพ้นจากฐานะเป็นผู้ค้ำประกันนายเส้งหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้เดิมที่นายเชือนค้ำประกันนายเส้งไว้คือ ๙,๖๐๐ บาท ซึ่งต่อมานางสวงกับนายเส้งได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลคงให้นายเส้งใช้เงินแก่นางสวง ๘,๕๐๐ บาท และนายเส้งก็ผ่อนชำระให้นางสวงไปแล้ว ๑,๐๐๐ บาท คงเหลือ ๗,๕๐๐ บาท ย่อมทำให้นายเชือนผู้ค้ำประกันลดภาระลง ดังนี้ ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยลำพังว่าสัญญากู้เดิมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพณิชย์ มาตรา ๘๕๒, ๓๔๙ นายเชือนผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๘ ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และนายเชือนฎีกาต่อมานั้นมิได้ เพราะไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน หนี้ระหว่างนางสวงกับนายเส้งก็ยังคงมีอยู่ และการที่ลดจำนวนหนี้ลงนั้นเป็นผลดีแก่นายเส้งอยู่แล้ว กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องของคู่กรณีโดยเฉพาะ ไม่กระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด
เมื่อคู่กรณีมิได้ยกขึ้นต่อสู้ และศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองมิได้ ก็ไม่มีประเด็นจะวินิจฉัยว่าหนี้ตามสัญญากู้เดิมระงับ สัญญาค้ำประกันย่อมระงับตามไปด้วย ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุอื่นอันศาลจะรับฟังว่าสัญญาค้ำประกันระงับไปแล้วอีกด้วย นายเชือนจึงต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน
พิพากษายืน.