แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ เป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือและโจทก์เป็นผู้รับเช็คนั้นไว้ในความครอบครอง ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คนั้นโดยชอบ มีอำนาจที่จะฟ้องบุคคลผู้ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทให้รับผิดต่อโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900ประกอบด้วยมาตรา 989 แม้โจทก์จะนำเงินจากบิดาโจทก์มารับแลกเช็คพิพาทก็หาเป็นเหตุที่จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดได้ไม่ เช็คพิพาทเป็นเช็คของจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้โดยไม่ต้องประทับตราของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 1 ไม่มีข้อจำกัดอำนาจของผู้จัดการไว้ การที่จำเลยที่ 2สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับเป็นการกระทำโดยมีอำนาจภายในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ จึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 แม้ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายร่วมกับจำเลยที่ 2 ในเช็คพิพาทจะเป็นลายมือชื่อปลอมของจำเลยที่ 3 แต่ไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1006 เช็คพิพาทจึงยังเป็นเช็คที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คพิพาท แม้จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนจำเลยที่ 3 เข้ามาเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 1แต่จำเลยที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1052 ประกอบด้วยมาตรา 1080 และมาตรา 1087 การที่จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันด้วยอาวัลในเช็คพิพาทซึ่งต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์อยู่แล้วได้ออกเช็คฉบับใหม่แก่โจทก์ หาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ แต่เป็นการชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม ซึ่งหนี้จะระงับสิ้นไปต่อเมื่อได้ใช้เงินตามเช็คฉบับใหม่แล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับใหม่ได้หรือไม่ หนี้ตามเช็คพิพาทจึงยังไม่ระงับไป ปัญหาที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์คบคิดกับจำเลยที่ 4ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 และที่ 3 และปัญหาว่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 3เป็นลายมือชื่อปลอม การสั่งจ่ายเช็คพิพาทของจำเลยที่ 2 จึงผิดไปจากข้อตกลงกับธนาคาร จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 และที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 2 และที่ 4 ได้นำเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาลำนารายณ์ ของจำเลยที่ 1 มาแลกเงินสดไปจากโจทก์จำนวน 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 3 ธันวาคม 2528จำนวนเงิน 230,580 บาท มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย ฉบับที่สองลงวันที่ 21 ธันวาคม 2528 จำนวนเงิน 80,000 บาทมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย กับมีจำเลยที่ 4สลักหลังเป็นอาวัล ครั้นเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 3 และ 23 ธันวาคม 2528 ตามลำดับขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน313,090 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน310,580 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 4ชำระเงินจำนวน 80,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 80,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 3 ไม่เคยนำเช็คพิพาทไปแลกเงินสดกับโจทก์ ลายมือชื่อในเช็คไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 3 แต่เป็นลายมือชื่อปลอมและไม่มีตราของจำเลยที่ 1 ประทับในเช็ค จำเลยที่ 3 เพิ่งเข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เมื่อเดือนมกราคม 2529 จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ยื่นคำให้การ ต่อมาระหว่างพิจารณาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 313,090 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 310,580 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ร่วมกันชำระเงิน 230,580 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 80,000 บาท นับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2528ถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 2529 โดยให้นำเงิน 5,000 บาท มาชำระเป็นค่าดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวก่อน จึงหักชำระเงินต้น 80,000 บาทเหลือเงินต้นจำนวนเท่าใด ให้ชำระเงินต้นที่เหลือนั้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินที่หักทอนแล้วดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับเป็นเช็คของจำเลยที่ 1 ก่อนถูกฟ้องคดีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ สั่งให้ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาลำนารายณ์ จ่ายเงินจำนวน 230,580 บาท และจำนวน80,000 บาท ตามลำดับให้แก่ผู้ถือ แล้วจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4ได้นำเช็คพิพาทไปแลกเงินสดจากโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 3 และ 23ธันวาคม 2528 โจทก์นำเช็คเรียกเก็บจากธนาคารไม่ได้ จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต่อจากจำเลยที่ 2และเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายร่วมกับจำเลยที่ 2 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3ต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่
ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามเพราะเงินที่โจทก์นำมาแลกเช็คพิพาทเป็นของบิดาโจทก์ และโจทก์คบคิดกับจำเลยที่ 4 ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 และที่ 3 นั้น เห็นว่าเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือและโจทก์เป็นผู้รับเช็คนั้นไว้ในความครอบครองย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คนั้นโดยชอบ มีอำนาจที่จะฟ้องบุคคลผู้ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทให้รับผิดต่อโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900ประกอบด้วยมาตรา 989 แม้โจทก์จะนำเงินจากบิดาโจทก์มารับแลกเช็คพิพาท ก็หาเป็นเหตุที่จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดได้ไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 อ้างว่าโจทก์คบคิดกับจำเลยที่ 4ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 และที่ 3 นั้น จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไม่มีตราของจำเลยที่ 1 ประทับไว้ ทั้งเป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ไม่ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายร่วมกับจำเลยที่ 2 เพราะเป็นลายมือชื่อปลอมนอกจากนี้ยังเป็นการผิดต่อข้อตกลงที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับธนาคารจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่ต้องรับตามเช็คพิพาทนั้น เห็นว่าเมื่อเช็คพิพาทเป็นเช็คของจำเลยที่ 1 และขณะที่จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้โดยไม่ต้องประทับตราของจำเลยที่ 1 สั่งขณะที่จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่มีข้อจำกัดอำนาจของผู้จัดการไว้การที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ จึงเป็นการกระทำโดยมีอำนาจภายในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ จึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ส่วนในปัญหาที่จำเลยที่ 1และที่ 3 อ้างว่าเช็คพิพาทมีลายมือชื่อปลอมของจำเลยที่ 3เป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่าแม้จะฟังว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายร่วมกับจำเลยที่ 2 ในเช็คพิพาทเป็นลายมือชื่อปลอมของจำเลยที่ 3 แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1006 บัญญัติว่า การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้น ดังนั้น เช็คพิพาทจึงยังคงเป็นเช็คที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คพิพาทดังกล่าวแล้ว แม้จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนจำเลยที่ 3 เข้ามาเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ก็จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1052 ประกอบด้วยมาตรา 1080 และมาตรา 1087 ส่วนในข้อที่ว่าเมื่อลายมือชื่อของจำเลยที่ 3 เป็นลายมือชื่อปลอม การสั่งจ่ายเช็คพิพาทของจำเลยที่ 2 จึงผิดไปจากข้อตกลงกับธนาคาร จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 1 และที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาอีกประการหนึ่งว่า จำเลยที่ 4ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงินสด 5,000 บาท และเป็นเช็คจำนวนเงิน75,000 บาท เป็นการแปลงหนี้ใหม่ หนี้ตามเช็คฉบับจำนวนเงิน 80,000บาท จึงระงับไปนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันด้วยอาวัลซึ่งต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์อยู่แล้วได้ออกเช็คฉบับใหม่แก่โจทก์หาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ แต่เป็นการชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม ซึ่งหนี้ระงับสิ้นไปต่อเมื่อได้ใช้เงินตามเช็คฉบับใหม่แล้ว แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับใหม่ได้หรือไม่ หนี้ตามเช็คฉบับจำนวนเงิน 80,000 บาท จึงยังไม่ระงับไป
พิพากษายืน