คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำร้องขอในการร้องขัดทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 เป็นเสมือนคำฟ้องที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลตาม มาตรา 1(3) ผู้ร้องจึงมีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์มีฐานะเสมือนเป็นจำเลย เมื่อผู้ร้องกล่าวอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของตน แต่โจทก์ยืนยันว่าเป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมายอันเป็นคุณแก่ผู้ร้องแล้ว ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่ผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้สมข้อกล่าวอ้างของตน

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ผู้ร้องฎีกาว่า โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ไม่ใช่ผู้ร้อง และข้อเท็จจริงควรฟังว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดตามคำร้องขัดทรัพย์เป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ผู้ร้องแพ้คดีจึงคลาดเคลื่อน

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในการร้องขัดทรัพย์ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ได้บัญญัติให้ผู้ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้โดยให้บุคคลนั้นยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี ให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น คำร้องขอดังกล่าวจึงเป็นเสมือนคำฟ้องที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) ดังนั้นผู้ร้องจึงมีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์มีฐานะเสมือนเป็นจำเลยเมื่อผู้ร้องกล่าวอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของตน แต่โจทก์ยืนยันว่าเป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมายอันเป็นคุณแก่ผู้ร้องแล้วภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่ผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้สมข้อกล่าวอ้างนั้น

ปัญหาต่อไปมิว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นของใช้ในครัวเรือนเป็นสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะที่โจทก์นำยึดอยู่ในความครอบครองของนางศุภรภรรยาจำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะมีชื่อในทะเบียนบ้านว่าเป็นเจ้าของบ้านที่โจทก์นำเจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์ก็ตาม ก็มิได้หมายความว่าทรัพย์ที่ยึดอยู่ในความครอบครองของผู้ร้องด้วย พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ร้องซื้อหามาเองบ้างบิดามารดายกให้บ้าง ผู้อื่นยกให้บ้างนั้นก็มีแต่ผู้ร้องเพียงผู้เดียวไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน จึงเป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ไม่มีน้ำหนักประกอบทั้งทรัพย์เหล่านี้เป็นของใช้ซึ่งนางศุภรภรรยาจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้สอยอยู่เป็นประจำ ผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้ใช้สอยด้วย โดยผู้ร้องอาศัยอยู่กับบิดามารดาซึ่งอยู่คนละแห่งกับบ้านที่เก็บทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ผู้ร้องอ้างว่าเหตุที่ไปอยู่กับบิดามารดา เพราะทำงานอยู่กับบิดามารดา เลิกงานมืดค่ำ ไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะฟังว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของและครอบครองทรัพย์ที่ยึด”

พิพากษายืน

Share