คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยถูกจำเลยฟ้องเรียกค่าเสียหาย โจทก์ก็ได้ให้การต่อสู้และฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากจำเลยบ้างในที่สุดได้ทำสัญญาประณีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามยอมนั้นจนคดีถึงที่สุดแล้วแต่หาได้จัดการให้เป็นไปตามสัญญายอมความกันไม่ ดังนี้ โจทก์จะมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยใหม่ ตามที่ได้เคยฟ้องแย้งไว้นั้นไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ
ทำสัญญาประณีประนอมยอมความว่า จะไปจดทะเบียนสมรสกันที่อำเภอนั้นหาเป็นการผิดกฎหมาย และเป็นโมฆะไม่เพราะคู่กรณีอาจไปจดทะเบียนสมรสได้ตามที่ยอมความกัน

ย่อยาว

ได้ความว่า เดิมนายแสงบิดาโดยส่วนตัวและแทนนางสาวประไพจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาสมรสจากโจทก์ทั้ง ๒ โจทก์ทั้งสองให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งเรียกทรัพย์กับค่าเสียหายเช่นที่ฟ้องคดีใหม่นี้ คู่ความคดีนั้นได้ประณีประนอมยอมความกันว่า โจทก์ในคดีนี้ยอมให้เงิน ๒๕๐๐ บาทเป็นสมรสระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทย์ ๒ ในวันวันจดทะเบียนสมรสที่อำเภอ และตกลงกันว่าจะจัดการให้โจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๒ ได้จดทะเบียนสมรสที่อำเภอภายในกำหนด ๒ เดือน ซึ่งศาลได้พิพากษาคดี เป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามยอมนั้นแล้ว คดีเรื่องนั้นถึงที่สุดแล้ว แต่หาได้จัดการจดทะเบียนสมรสกันไม่ โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ใหม่ ( อย่างที่ได้ฟ้องแย้งไว้ในคดีเดิม )
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เป็นฟ้องซ้ำ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษา
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การทำสัญญาประณีประนอมยอมความว่าจะไปจดทะเบียนสมรสกันดังกล่าวข้างต้นนั้นหาเป็นการผิดกฎหมายและเป็นโมฆะไม่ เพราะคู่กรณีอาจไปจดทะเบียนสมรสได้ตามที่ยอมความกัน ประเด็นที่พิพาทกันยุตติไปแล้ว โจทก์รื้อเอาประเด็นเก่ามาฟ้องอีกเป็นฟ้องซ้ำ เมื่อฝ่ายใดไม่ปฎิบัติตามสัญญายอม ก็ต้องบังคับไปตามสัญญายอมเท่าที่จะฟังบังคับได้
จึงพิพากษายืน

Share