แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีบ้านอยู่ใกล้กัน จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยจำเลยที่ 2 นั่งอยู่ด้วยในขณะที่ อ. เข้ามาพูดคุยกับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 ย่อมทราบเรื่องดี เมื่อจำเลยที่ 2 รับสิ่งของแล้ว จำเลยที่ 1ก็ขับรถยนต์ออกไป เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ทราบรายละเอียดของการที่ตนขับรถยนต์พาจำเลยที่ 2 มายังสถานที่เกิดเหตุเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เมื่อ อ. นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งให้จำเลยที่ 2ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการในการรับมอบเมทแอมเฟตามีนนั้นร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนนั้น
สำหรับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นโจทก์มีเพียงคำรับในชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับคำรับของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนเท่านั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำการใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ทั้งยังไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคสองกรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 198 เม็ด น้ำหนักเมทแอมเฟตามีน 17.07 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าว และซองพลาสติกสำหรับใส่เมทแอมเฟตามีน 1 ซอง เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8,15, 66, 102 กับริบเมทแอมเฟตามีน และซองบรรจุเมทแอมเฟตามีน
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 10 ปีจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 5 ปี ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1หรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโทเดิมพัน นายดาบตำรวจมานิจ และจ่าสิบตำรวจมาโนช เป็นพยานเบิกความว่า ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1ขับรถยนต์เข้าไปในหมู่บ้านและจอดรถยนต์ที่บริเวณใกล้บ้านพักคนงานก่อสร้าง นายโอเดินเข้าไปยืนข้างรถยนต์และพูดคุยกับจำเลยที่ 2แล้วส่งของให้กัน จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ออกไปจากหมู่บ้านเห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีบ้านอยู่ใกล้กัน จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยจำเลยที่ 2 นั่งอยู่ด้วยในขณะที่นายโอเข้ามาพูดคุยกับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 ย่อมทราบเรื่องดี เมื่อจำเลยที่ 2 รับสิ่งของแล้วจำเลยที่ 1ก็ขับรถยนต์ออกไป เช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ทราบรายละเอียดของการที่ตนขับรถยนต์พาจำเลยที่ 2 มายังสถานที่เกิดเหตุเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เมื่อนายโอนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งให้จำเลยที่ 2 ดังที่กล่าวมาแล้วย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการในการรับมอบเมทแอมเฟตามีนนั้นร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 2มีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนนั้น ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า นายโอส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 198 เม็ด แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยทั้งสองรับสารภาพในชั้นจับกุมว่ามีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเพื่อจำหน่ายในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 ยังคงรับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนนั้นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เห็นว่า โจทก์นำสืบในข้อนี้ได้แต่เพียงมีคำรับในชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับคำรับของจำเลยที่ 2ในชั้นสอบสวนเป็นพยานเท่านั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำการใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ปริมาณของกลางมีจำนวน 198 เม็ด ซึ่งค่อนข้างมากแต่ก็มีน้ำหนัก 17.07 กรัมซึ่งเท่ากับว่ามีน้ำหนักของสารบริสุทธิ์ไม่ถึงยี่สิบกรัมอย่างแน่นอนจึงไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นประกอบที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายคดีนี้สำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาแต่เมื่อมีเหตุในลักษณะคดีซึ่งศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,67 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1