คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาที่ว่าเมื่อโจทก์ทั้งสองชำระหนี้จำนองแทนจำเลยครึ่งหนึ่งก็ก่อให้โจทก์ทั้งสองเกิดสิทธิจะรับโอนที่ดินตามข้อตกลงเช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าหนี้ที่โจทก์ทั้งสองจะต้องชำระหนี้จำนองครึ่งหนึ่งแทนจำเลยตามข้อตกลงดังกล่าวนั้นโจทก์ทั้งสองจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจะต้องชำระหนี้สิ้นเชิงอันถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา291ดังนั้นการที่โจทก์ที่1ชำระหนี้จำนองตามข้อตกลงย่อมมีผลเป็นการชำระหนี้แทนโจทก์ที่2ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา292โดยเหตุนี้แม้โจทก์ที่2จะถอนคำฟ้องแต่เมื่อโจทก์ที่1ได้ชำระหนี้ตามข้อตกลงแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วโจทก์ทั้งสองก็มีสิทธิรับโอนที่ดินจากจำเลยตามข้อตกลงได้ทันที ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ทั้งสองและจำเลยยอมรับผิดในหนี้จำนองคนละครึ่งฉะนั้นหนี้จำนองทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นส่วนของโจทก์ทั้งสองที่โจทก์ทั้งสองยอมรับตามสัญญาณวันที่26ธันวาคม2531เป็นต้นไปจึงตกเป็นภาระแก่โจทก์ทั้งสองดอกเบี้ยที่เกิดจากยอดเงินในส่วนที่โจทก์ทั้งสองต้องรับผิดจึงตกเป็นภาระหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองจะต้องร่วมกันชำระจำเลยคงมีภาระที่จะต้องชำระดอกเบี้ยจำนองของยอดเงินในส่วนที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญานับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสองเป็นต้นไปเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 697 เลขที่ดิน 29 ตำบลทุ่งบัว อำเภอกำแพงแสนจังหวัดนครปฐม จำนวน 13 ไร่ 1 งาน 13 ตารางวา ให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยร่วมกับโจทก์นำเงินไปชำระหนี้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จำกัด หากจำเลยไม่ปฏิบัติขอให้ยึดที่ดิน 1 ไร่ ของจำเลยอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 697 ดังกล่าวออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินไปชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ รายงานกระบวนพิจารณาของศาลที่โจทก์กล่าวอ้างไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เป็นการอ้างเหตุในการที่โจทก์ถอนฟ้องจำเลยเท่านั้น ในวันที่ 26 ธันวาคม 2531 ซึ่งโจทก์ถอนฟ้องนั้นที่ดินตามฟ้องติดจำนองสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำกัด เป็นต้นเงิน 260,000 บาท และดอกเบี้ยค้างชำระประมาณ 40,000 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินประมาณ 300,000 บาท โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนกันว่าโจทก์และจำเลยจะนำเงินไปชำระหนี้คนละครึ่งหนึ่งเป็นเงินคนละประมาณ 150,000 บาท นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2531 เป็นต้นไปต่างฝ่ายต่างจะต้องชำระดอกเบี้ยในหนี้เงินส่วนของตน หากโจทก์ผิดสัญญาก็ให้ถือว่าไม่ติดใจเรียกร้องเอาที่ดินตามฟ้องคืนหลังจากการตกลงกับโจทก์ดังกล่าวแล้ว จำเลยได้ชำระหนี้ในส่วนของตนให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำกัดเรื่อยมา ส่วนโจทก์ไม่นำเงินไปชำระตามข้อตกลงเลย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต่างตอบแทน ไม่มีสิทธิเรียกที่ดินคืน ส่วนที่โจทก์ติดต่อจะนำเงินไปชำระพร้อมกับจำเลยนั้น โจทก์ก็ติดต่อเมื่อเลยกำหนด 2 ปี ตามข้อตกลงไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิจะยึดที่ดิน 1 ไร่ของจำเลยออกขายทอดตลาดได้ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 2 ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยดำเนินการให้โจทก์ที่ 1ชำระหนี้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำกัดในวงเงิน 150,000 บาท หากมีส่วนเหลือให้จำเลยรับไป กับให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 697 เลขที่ดิน 29 ตำบลทุ่งบัว อำเภอกำแพงแสนจังหวัดนครปฐม จำนวน 13 ไร่ 1 งาน 13 ตารางวา ในส่วนที่อยู่นอกเหนือที่ดิน 1 ไร่ อันเป็นที่ตั้งของบ้านจำเลยให้แก่โจทก์ที่ 1หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยส่วนที่โจทก์ที่ 1 ขอให้ยึดที่ดินจำเลยนั้นเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการในชั้นบังคับคดี ให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 26 ธันวาคม 2531 ที่ว่าเมื่อโจทก์ทั้งสองชำระหนี้จำนองแทนจำเลยครึ่งหนึ่ง ก็ก่อให้โจทก์ทั้งสองเกิดสิทธิจะรับโอนที่ดินตามข้อตกลงเช่นนี้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าหนี้ที่โจทก์ทั้งสองจะต้องชำระหนี้จำนองครึ่งหนึ่งแทนจำเลยตามข้อตกลงดังกล่าวนั้น โจทก์ทั้งสองจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจะต้องชำระหนี้สิ้นเชิงอันถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 291 ดังนั้น การที่โจทก์ที่ 1 ชำระหนี้จำนองตามข้อตกลงย่อมมีผลเป็นการชำระหนี้แทนโจทก์ที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 292 โดยเหตุนี้แม้โจทก์ที่ 2 จะถอนคำฟ้องแต่เมื่อโจทก์ที่ 1 ได้ชำระหนี้ตามข้อตกลงแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์ทั้งสองก็มีสิทธิรับโอนที่ดินจากจำเลยตามข้อตกลงได้ทันที
ปัญหาสุดท้ายมีว่า จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองเพียงใด เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ทั้งสองและจำเลยยอมรับผิดในหนี้จำนองคนละครึ่ง ฉะนั้นหนี้จำนองทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นส่วนของโจทก์ทั้งสองที่โจทก์ทั้งสองยอมรับตามสัญญา ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2531 เป็นต้นไปจึงตกเป็นภาระแก่โจทก์ทั้งสอง ดอกเบี้ยที่เกิดจากยอดเงินในส่วนที่โจทก์ทั้งสองต้องรับผิด จึงตกเป็นภาระหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองจะต้องร่วมกันชำระ จำเลยคงมีภาระที่จะต้องชำระดอกเบี้ยจำนองของยอดเงินในส่วนที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญานับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสองเป็นต้นไปเท่านั้นที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแต่ฝ่ายเดียวศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการให้โจทก์ที่ 1ชำระหนี้จำนองแก่สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำกัดจำนวนเงินครึ่งหนึ่งของหนี้ที่จำเลยผูกพัน ณ วันที่ 26 ธันวาคม2531 พร้อมดอกเบี้ยเฉพาะในต้นเงินที่โจทก์ที่ 1 ต้องชำระดังกล่าวกับให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 697 เลขที่ดิน 29 ตำบลทุ่งบัว อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมจำนวน 13 ไร่ 1 งาน 13 ตารางวา ในส่วนที่อยู่นอกเหนือที่ดิน 1 ไร่อันเป็นที่ตั้งของบ้านจำเลยให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share