คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5390/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน4,473,237.18บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยทั้งสามไม่ชำระโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่2ออกขายทอดตลาดป. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่2ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยที่2โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่โจทก์นำยึดให้แก่ป. และรับเงินจำนวน5,789,303.39บาทตามสัญญาจะซื้อขายได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อนำไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่2และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวเมื่อที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่2กับผู้ร้องผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอกันส่วนในเงินที่ป. นำมาวางแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กึ่งหนึ่งในฐานะเจ้าของรวมสิทธิขอกันส่วนของผู้ร้องมิใช่มีแต่กรณีบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่2เท่านั้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมกันชำระเงิน 4,473,237.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยหักเงิน 800,000 บาท ที่จำเลยที่ 2นำมาชำระออกก่อน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18001 ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมืองสมุทรปราการจังหวัดสมุทรสาคร ของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 หลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18001 เพื่อบังคับชำระหนี้แก่โจทก์แล้วนายประยูร บพิตรพิทักษ์ โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 623/2531ของศาลชั้นต้นได้นำเงิน 5,789,303.39 บาท มาวางชำระหนี้ให้โจทก์คดีนี้แทนจำเลยที่ 2 เพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษาในคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 623/2531เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอนุญาต นายประยูรจึงได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไปตามคำพิพากษาแล้ว เงินที่นายประยูรวางชำระหนี้แทนจำเลยที่ 2 หักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่าง ๆแล้ว เหลือเงินสุทธิ 5,569,864.39 บาท และยังอยู่ที่กรมบังคับคดีเนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2ทั้งหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่ใช่หนี้ที่จำเลยที่ 2และผู้ร้องเป็นลูกหนี้ร่วมกัน จึงขอให้กันส่วนเงินดังกล่าวให้ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง
โจทก์คัดค้านว่า เงินดังกล่าวมิใช่ทรัพย์อันได้มาจากการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนในเงินดังกล่าวขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18001 ก็เพื่อบังคับคดีเอาทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด หรือจำหน่ายเอาเงินที่ได้มานั้นชำระหนี้แก่โจทก์ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรับเงินจำนวน 5,789,303.39 บาทไว้จากนายประยูร ก็เพื่อการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ในคดีนี้นั่นเองโดยเปลี่ยนจากการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวมายึดถือเอาเงินราคาที่ดินแปลงดังกล่าวที่นายประยูรจะต้องชำระแก่จำเลยที่ 2 ตอบแทนตามคำพิพากษานั้นไว้แทน เมื่อที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสินสมรสอันเป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากัน ดังนั้นจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดถือไว้แทนราคาที่ดินแปลงดังกล่าวผู้ร้องจึงมีส่วนอยู่ด้วยกึ่งหนึ่งการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำเงินดังกล่าวในส่วนที่เหลือจากการหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีแล้วชำระหนี้แก่โจทก์ ย่อมไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องที่จะร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินอันได้แก่เงินจำนวนดังกล่าวนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอกันส่วนในเงินจำนวน 5,569,864.39 บาท ไว้กึ่งหนึ่งในฐานะเจ้าของรวมกับจำเลยที่ 2 กรณีหาใช่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์สินกับจำเลยที่ 2จะมีสิทธิร้องขอกันส่วนของตนได้เฉพาะแต่กรณีที่มีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยการขายทอดตลาดดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไว้ไม่
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกันเงินจำนวน5,569,864.39 บาท ออกกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้ร้อง

Share