คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5386/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 352/2542 ให้จำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ระหว่างการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกได้ชำระหนี้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 352/2542 ของศาลชั้นต้นจนเป็นที่พอใจแก่โจทก์แล้ว โจทก์ก็ย่อมไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่ถูกจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิอีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 และคดีนี้โจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 อันเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 2 ฎีกาแต่เพียงผู้เดียว ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ไม่ได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 28577 ตำบลวังตะกอ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 352/2542 ของศาลชั้นต้น ซึ่งโจทก์ในคดีนี้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 9,250,987.32 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่จำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ระหว่างการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกได้เจรจากับโจทก์เกี่ยวกับหนี้สินที่ค้างชำระอยู่ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 352/2542 ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ และจำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกได้ชำระหนี้จำนวน 3,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงจนเป็นที่พอใจแก่โจทก์ และโจทก์ก็ไม่ติดใจเรียกร้องหนี้ใดๆ จากจำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกอีก ปรากฏตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 352/2542 ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยที่ 2 แนบมาท้ายคำแถลงการณ์ในชั้นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 16 กันยายน 2547 เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกได้ชำระหนี้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 352/2542 ของศาลชั้นต้นจนเป็นที่พอใจแก่โจทก์แล้ว โจทก์ก็ย่อมไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่ถูกจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิอีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้ออื่นอีกต่อไป และเนื่องจากคดีนี้ โจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 อันเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2 ฎีกาแต่เพียงผู้เดียว ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share