แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ดินแทน แล้วโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แม้การบรรยายฟ้องและคำขอบังคับของโจทก์ทั้งสองมุ่งในเรื่องการครอบครองปรปักษ์ แต่การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเองได้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์ที่ 1 ส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองที่ดินมีเนื้อที่ 3 งาน 62 ตารางวา เมื่อ พ.ศ. 2504โจทก์ทั้งสองได้มอบให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดินดังกล่าวไว้แทนตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 319 ตำบลระแงง หมู่ที่ 2 อำเภอศืขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2509 ได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 247 ตำบลระแงงอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ มีเนื้อที่ 3 งาน 85 ตารางวา โดยโจทก์ทั้งสองให้จำเลยที่ 1 มีชื่อในโฉนดที่ดินเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทน โจทก์ทั้งสองได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 462/1 พักอาศัยปลูกสร้างอาคารเก็บสินค้ากับบ้านพักคนงานในการประกอบการค้าบนที่ดินพิพาท ทั้งได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 26 ปีเศษแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน โจทก์ทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองแต่จำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้เป็นชื่อของโจทก์ทั้งสอง ต่อมาจำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อจำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 462/1 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองโดยการครอบครองและให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินพิพาทให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุรินทร์แก้ไขทะเบียนในโฉนดที่ดินพิพาทโดยถอนการจำนองออกแล้วใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการซื้อมาจากนายสวัสดิ์ เจริญรัตน์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับมอบหมายจากโจทก์ทั้งสองให้ไปแจ้งการครอบครองเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และออกโฉนดที่ดินไว้แทนโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 ได้อนุญาตให้โจทก์ทั้งสองปลูกบ้านอาศัยในที่ดินพิพาท แต่มีข้อตกลงกันว่า เมื่อครบ 10 ปีแล้วให้สิ่งปลูกสร้างของโจทก์ทั้งสองตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1โจทก์ทั้งสองอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 10 ปีแล้วสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ทั้งสองบนที่ดินแปลงนี้จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 รับจำนองที่ดินพิพาทกับสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้โดยสุจริต โจทก์ทั้งสองทราบดีอยู่แล้ว ไม่เคยโต้แย้ง โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจำนองเฉพาะบ้านและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่มีอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 247 ตำบลระแงงอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ตามสัญญาจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2
โจทก์ทั้งสอง และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในปัญหาข้อแรกเห็นสมควรวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ แม้ปัญหานี้จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่ 3 งาน 62 ตารางวา โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองแทน ครั้นต่อมาที่ดินดังกล่าวได้มีการออกโฉนดที่ดินเป็นเนื้อที่ 3 งาน 85 ตารางวา โจทก์ทั้งสองยอมให้จำเลยที่ 1ใส่ชื่อในโฉนดที่ดินแทนโจทก์ทั้งสอง แล้วโจทก์ทั้งสองได้เข้าครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวมาตลอดเป็นเวลา 26 ปีเศษ โจทก์ทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยการครอบครองปรปักษ์ขอให้ศาลสั่งว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ให้เพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และแก้ไขทะเบียนโฉนดที่ดินเป็นชื่อโจทก์ทั้งสอง อันเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองอย่างไรก็ตามเมื่อโจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองเสียแล้ว โดยใส่ชื่อจำเลยที่ 2(ที่ถูกต้องเป็นจำเลยที่ 1) ในโฉนดที่ดินแทน แม้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องมุ่งเรื่องการครอบครองปรปักษ์ และขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แต่การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองได้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 และฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงไม่จำต้องวินิจฉัย…”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง.