แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ แว่นตา กับหมวกไหมพรมเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กับมีคำขอให้ริบของกลางดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่และพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า ให้คืนรถจักรยานยนต์ แว่นตา และหมวกไหมพรมของกลางแก่เจ้าของ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 340 ตรี, 371, 83, 91, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาลูกกุญแจรถยนต์ กับลูกกุญแจรถจักรยานยนต์ราคา 140 บาท และเงิน 2,300 บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษของจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1831/2540 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะ จำคุกคนละ 15 ปีฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปีฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก คนละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 16 ปี 6 เดือน ริบของกลางยกเว้นแว่นตาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาลูกกุญแจรถยนต์ กับลูกกุญแจรถจักรยานยนต์ราคา 140 บาท และเงินจำนวน 2,300 บาทแก่ผู้เสียหาย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์ฟ้อง มีคนร้ายสองคนร่วมกันชิงทรัพย์เงินจำนวน 2,300 บาทกับลูกกุญแจรถยนต์และลูกกุญแจรถจักรยานยนต์อย่างละ 1 ดอก มูลค่า 140 บาทของนายเกรียงไกร แซ่โล้ ผู้เสียหายไป โดยคนร้ายทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายไม่ให้ขัดขืนและใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการชิงทรัพย์
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ในปัญหาดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ และยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสองนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอย่างไรก็ดี โจทก์บรรยายฟ้องว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์แว่นตากับหมวกไหมพรมเป็นของกลาง และมีคำขอให้ริบของกลางดังกล่าวดังนั้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ ก็ต้องมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 186(9) การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนรถจักรยานยนต์ แว่นตา และหมวกไหมพรมของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1