แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่ได้ต่อเติมรุกล้ำ แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนไม่ปรากฏว่า ในขณะยื่นคำฟ้องที่พิพาทอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 10,000 บาท หรือไม่แต่ได้ความตามคำฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่พิพาทเป็นเนื้อที่ 2 ตารางวาเป็นจำนวนเล็กน้อย ไม่ปรากฏว่าอยู่ในทำเลอันจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษ เชื่อได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 19224มาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2530 ต่อมาโจทก์ตรวจสอบพบว่าจำเลยปลูกสร้างต่อเติมหลังตึกแถวเลขที่ 1654 ของจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 2 ตารางวา โจทก์ให้ทนายความบอกกล่าวแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย8,000 บาท และต่อไปในอัตราวันละ 500 บาท
จำเลยให้การว่า บริษัทกุลเศรษฐศิริ จำกัด เป็นเจ้าของที่ดินบริเวณศูนย์การค้าวรรัตน์รวมทั้งที่ดินของโจทก์จำเลย เมื่อปี2523 บริษัทกุลเศรษฐศิริ จำกัด ขายที่ดินและตึกแถวพร้อมส่วนต่อเติมด้านหลังซึ่งเป็นส่วนที่พิพาทกันในคดีนี้ให้นายธีระโดยตกลงให้ครอบครองและใช้ประโยชน์ส่วนที่พิพาทได้ด้วย จำเลยซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทจากนายธีระเมื่อปี 2528 แล้วครอบครองต่อมาโดยไม่เคยกระทำการใดอันเป็นการรุกล้ำที่ดินผู้อื่นเลยโจทก์รับโอนที่ดินมาจากเจ้าของเดิม ภายหลังที่ส่วนที่พิพาทมีขึ้นแล้วจึงต้องรับภาระไปด้วย ค่าเสียหายไม่เกินวันละ 50 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่ได้ต่อเติมรุกล้ำกับเลิกครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดิน และให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 19224 ของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 50 บาท จนกว่าจำเลยจะได้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ (ค่าเสียหายก่อนวันฟ้องไม่เกิน 800 บาท)
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า ฟ้องโจทก์เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนไม่ปรากฏว่าในขณะยื่นคำฟ้องที่พิพาทอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 10,000 บาทหรือไม่ แต่ได้ความตามคำฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทเป็นเนื้อที่2 ตารางวา เป็นจำนวนเล็กน้อย ไม่ปรากฏว่าอยู่ในทำเลอันจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษ เชื่อได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ที่จำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์ไม่ปรากฏว่านางสาวศันสนีย์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนห้องครัวออกไป เท่ากับว่ายินยอมโดยปริยายให้คงสภาพห้องครัวรุกล้ำอยู่เช่นนั้น และจากคำเบิกความของโจทก์เองยอมรับว่าที่ดินพิพาทมีการต่อเติมรุกล้ำอยู่ก่อนที่โจทก์ซื้อมาจากนางสาวศันสนีย์โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้าน เท่ากับยอมรับรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนเมื่อสิทธิของผู้โอนมีเพียงใด โจทก์ผู้รับโอนก็ย่อมมีเพียงนั้นโจทก์จึงต้องรับภาระหน้าที่นี้ด้วยการรุกล้ำดังกล่าวจึงเป็นมาโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยรื้อถอนออกไปนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 18 อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่จำเลยยื่นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนที่ฎีกาว่า เมื่อได้ความว่าที่พิพาทเป็นทางหนีไฟไม่เหมาะแก่การใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือทำธุรกิจได้ จึงไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น ก็เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย