แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโจทก์กับจำเลยที่ 1อยู่ที่การประกอบกิจการ ซื้อและขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นลงเป็นครั้งคราวมากกว่า ประสงค์ให้มีการโอนหุ้น แม้การซื้อขายหุ้นเช่นนี้จะไม่มีการโอนหุ้น ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129ก็หาเป็นโมฆะไม่ เมื่อโจทก์ออกเงินทดรองซื้อหุ้นให้จำเลยที่ 1 อันเป็นกิจการที่จำเลยที่ 1 มอบหมาย โจทก์ในฐานะตัวแทนย่อมเรียกให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิด อย่างลูกหนี้ร่วมชดใช้เงินที่ได้ออกทดรอง รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าใช้จ่าย อย่างอื่นตามสัญญาได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทั้งสองตกเป็น ลูกหนี้โจทก์อันอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า30,000 บาท(ตามกฎหมายเดิม) และไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สิน อย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ศาลก็มีอำนาจสั่ง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าโจทก์เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวงเงิน 450,000 บาท มีจำเลยที่ 2 ค้ำประกันในวงเงินดังกล่าวจำเลยที่ 1 สั่งให้โจทก์ซื้อขายหุ้นและค้างชำระเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายรวมดอกเบี้ยเป็นเงิน 394,671.56 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ดังกล่าวไม่น้อยกว่าสองครั้ง มีระยะห่างไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ชำระหนี้และไม่มีทรัพย์สินใดพอชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การซื้อขายหุ้นเป็นโมฆะโจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่าจำเลยที่ 1 ตั้งโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แทนจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดรวมกับจำเลยที่ 1โจทก์ได้ออกเงินทดรองในการซื้อหุ้นให้จำเลยที่ 1 อันเป็นกิจการที่จำเลยที่ 1 มอบหมายโจทก์ในฐานะตัวแทนย่อมเรียกให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมชดใช้เงินที่ได้ออกทดรองพร้อมดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตามสัญญาตัวแทนและค้ำประกันได้ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680, 691, 816 เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสองตกเป็นลูกหนี้โจทก์อันอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 30,000 บาท และไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ดังที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ ศาลก็มีอำนาจสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองได้
พิพากษายืน