คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5354/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่ที่การประกอบกิจการ ซื้อและขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นลงเป็นครั้งคราวมากกว่า ประสงค์ให้มีการโอนหุ้น แม้การซื้อขายหุ้นเช่นนี้จะไม่มีการโอนหุ้นตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 ก็หาเป็นโมฆะไม่ เมื่อโจทก์ออกเงินทดรองซื้อหุ้นให้จำเลยที่ 1 อันเป็นกิจการที่จำเลยที่ 1 มอบหมาย โจทก์ในฐานะตัวแทนย่อมเรียกให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิด อย่างลูกหนี้ร่วมชดใช้เงินที่ได้ออกทดรอง รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าใช้จ่าย อย่างอื่นตามสัญญาได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทั้งสองตกเป็น ลูกหนี้โจทก์อันอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 30,000 บาท (ตามกฎหมายเดิม) และไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สิน อย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ศาลก็มีอำนาจสั่ง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกค้าโจทก์เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวงเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท มีจำเลยที่ ๒ ค้ำประกันในวงเงินดังกล่าวจำเลยที่ ๑ สั่งให้โจทก์ซื้อขายหุ้นและค้างชำระเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายรวมดอกเบี้ยเป็นเงิน ๓๙๔,๖๗๑.๕๖ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ดังกล่าวไม่น้อยกว่าสองครั้ง มีระยะห่างไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ชำระหนี้และไม่มีทรัพย์สินใดพอชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การซื้อขายหุ้นเป็นโมฆะโจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่าจำเลยที่ ๑ ตั้งโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แทนจำเลยที่ ๑ โดยมีจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดรวมกับจำเลยที่ ๑ โจทก์ได้ออกเงินทดรองในการซื้อหุ้นให้จำเลยที่ ๑ อันเป็นกิจการที่จำเลยที่ ๑ มอบหมายโจทก์ในฐานะตัวแทนย่อมเรียกให้จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นตัวการและจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมชดใช้เงินที่ได้ออกทดรองพร้อมดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตามสัญญาตัวแทนและค้ำประกันได้ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐, ๖๙๑, ๘๑๖ เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสองตกเป็นลูกหนี้โจทก์อันอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท และไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ดังที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ ศาลก็มีอำนาจสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองได้
พิพากษายืน

Share