คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งขับรถยนต์โดยสารกับ ส. ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายนั่งซ้อน ท้ายมาต่างประมาทด้วยกัน มิใช่เป็นการร่วมกันกระทำละเมิด ผู้ตายมิได้มีส่วนทำความผิดด้วย และความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายอันเดียวกันเป็นหนี้อันจะแบ่งแยกจากกันชำระมิได้ ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างลูกหนี้ร่วม ตามป.พ.พ. มาตรา 301 ประกอบด้วยมาตรา 291 จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายทั้งหมดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยกับ ส. จะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับ ส. ด้วยกันเอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับทับรถจักรยานยนต์และทับนายดำรงค์ ได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ขอให้จำเลยใช้เงินจำนวน 85,500 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ขับรถยนต์โดยประมาทและมิได้ขับรถเร็ว สภาพของถนนสายปากคาด-โซ่พิสัย ไม่ดี นายสุริยันต์พรมแสนปัง ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่นายดำรงค์ พรมแสงปัง บุตรโจทก์นั่งช้อนท้ายขับขี่ด้วยความคึกคะนอง แซงรถยนต์ที่จำเลยขับด้วยความเร็วสูง ปีนกองหินข้างทางเสียหลักแฉลบมาขวางทางรถยนต์ที่จำเลยขับ จำเลยหยุดรถได้ทันท่วงทีโดยคานส่งของรถจำเลยสะดุดครูดรถจักรยานยนต์ที่ล้มขวางทางเท่านั้น ส่วนนายสุริยันต์และนายดำรงค์กระเด็นตกจากรถไปก่อนแล้วค่าใช้จ่ายในการทำศพอย่างสูงไม่เกิน10,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความแถลงร่วมกันว่าในประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยประมาทหรือไม่ โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน โดยขอถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 227/2528(หมายเลขแดงที่ 2336/2528) ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดหนองคายโจทก์ นายบัวแสง ชนชิต ที่ 1 นายสุริยันต์ พรมแสนปัง ที่ 2 จำเลยของศาลชั้นต้นแทน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 227/2528หมายเลขแดงที่ 2336/2528 ของศาลชั้นต้นที่คู่ความแถลงร่วมกันให้ถือเอาผลของพิพากษาในคดีดังกล่าวรับฟังได้ว่า นายสุริยันต์พรมแสนปัง และจำเลยต่างก็ประมาท และศาลชั้นต้นเห็นว่า นายสุริยันต์พรมแสนปัง ประมาทมากกว่าจำเลย จึงกำหนดความรับผิดในค่าสินไหมทดแทนตามความร้ายแรงแห่งละเมิด โดยให้จำเลยรับผิดเพียง 3 ใน 10ส่วน ศาลกำหนดค่าปลงศพเป็นเงิน 10,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ30,000 บาท รวมเป็นเงิน 40,000 บาท จำเลยต้องรับผิด 3 ใน 10ส่วนของเงินดังกล่าว คิดเป็นเงิน 12,000 บาท พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 12,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อทุธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ 40,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในชั้นนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เต็มจำนวน 40,000 บาทหรือจะชดใช้เพียง 3 ใน 10 ส่วน ของเงิน 40,000 บาท ตามข้อฎีกาของจำเลย เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ เนื่องจากจำเลยทำละเมิดเป็นเหตุให้นายดำรงค์บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รับความเสียหาย ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยกับนายสุริยันต์ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่นายดำรงค์ผู้ตายนั่งช้อนท้ายมาต่างประมาทด้วยกัน มิใช่เป็นการร่วมกันกระทำละเมิดนายดำรงค์ผู้ตายซึ่งโจทก์สืบสิทธิมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย เป็นเพียงผู้ที่นั่งช้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่นายสุริยันต์ขับขี่เท่านั้น มิได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วย และความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายอันเดียวกัน จึงเป็นกรณีบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งแยกจากกันชำระมิได้ ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดนั้นต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 ประกอบด้วยมาตรา 291ส่วนการที่ผู้ทำละเมิดแต่ละคนจะรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องระหว่างผู้ทำละเมิดด้วยกันเองเทียบกับคำพิพากษาฎีกาที่ 382/2529 ระหว่าง นางสาวชุลีพร กรศรีสวัสดิ์กับพวก โจทก์ นายพนอ นพคุณ กับพวก จำเลย…”
พิพากษายืน.

Share