คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ขับรถแซงรถจำเลยที่ 3 ขึ้นมา และรถจำเลยที่ 3 และที่ 1 ใกล้จะแล่นสวนกันและหลบไม่พ้นรถของจำเลยที่ 1 ซึ่งถูกเฉี่ยวเสียหลักขวางถนนและถูกรถจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่สามารถหยุดได้ทันพุ่งเข้าชน เป็นเหตุให้คนบนรถจำเลยที่ 1 ตกลงมาถึงตายและบาดเจ็บสาหัส เช่นนี้ ถือว่าการตายและบาดเจ็บสาหัสเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวตามคำนัยพิพากษาฎีกาที่ 1011/2503
พฤติการณ์อันเข้าลักษณะเป็นประมาท หากเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 ด้วย ถือว่าเป็นกรรมอันเดียวกันทั้งหมด เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ไม่เรียกว่าเป็นความผิดหลายกรรม
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 9 บัญญัติให้รถเดินทางด้านซ้ายของทางหาได้บัญญัติถึงกับให้เดินชิดขอบซ้ายของทางอันจะถือเป็นการฝ่าฝืนไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงตายและบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ ๑ และ ๒ ขับรถแทรกเตอร์และรถยนต์เก๋งมาคนละทาง ตรงข้ามโดยไม่ขับชิดขอบทางถนน และด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้เกิดการเฉี่ยวชนกันขณะแล่นสวนกัน ซึ่งขณะนั้นจำเลยที่ ๓ ขับรถยนต์บรรทุกมาถึงด้วยความเร็วสูง จึงแล่นเข้าชนรถแทรกเตอร์ซึ่งกำลังเสียหลักขวางถนนอยู่ เป็นเหตุให้ผู้โดยสารในรถแทรกเตอร์ตกจากรถถึงแก่ความตาย ๒ คน และบาดเจ็บสาหัส ๑ คน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑, ๓๐๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๘, ๖๖ และสั่งถอนใบอนุญาตขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ และ ๒ ประมาทส่วนการกระทำของจำเลยที่ ๓ ไม่เป็นประมาท เพราะเป็นเหตุกระทันหัน แม้หากขับมาด้วยความเร็วตามปกติ ก็จะหลีกเลี่ยงการชนไม่ได้ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๑ และ ๒ มิได้ขับชิดขอบถนนด้านซ้ายเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๔, ๖๖ และจึงเป็นเหตุให้รถทั้งสองฝ่ายเฉี่ยวชนกัน ซึ่งเป็นเวลาที่รถบรรทุกที่จำเลยที่ ๓ ขับแล่นมาถึงพอดี จึงพุ่งเข้าชนรถแทรกเตอร์ เป็นเหตุให้คนบนรถแทรกเตอร์ถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ อันเป็นผลโดยตรงจากความประมาทร่วมกันของจำเลยที่ ๑ และ ๒ ส่วนจำเลยที่ ๓ ไม่มีความผิดเพราะไม่สามารถเลี่ยงการชนได้ทันท่วงที แม้จะใช้ความเร็วตามปกติ พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๑ และ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๙, ๖๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๑๓ แต่ให้ลงโทษโดยกระทงที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ประกอบด้วยมาตรา ๙๑ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ และ ๒ คนละ ๓ ปี กับให้ถอนใบอนุญาตขับรถจำเลยที่ ๒ นอกนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ และ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะจะเกิดเหตุรถแทรกเตอร์ที่จำเลยที่ ๑ ขับแล่นมาตามทางซ้ายของถนนด้วยความเร็วปกติ และรถบรรทุกถ่านซึ่งจำเลยที่ ๓ ขับกำลังแล่นมาตามทางด้านตรงข้ามใกล้จะสวนกัน ก็เป็นเวลาที่จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์เก๋งแซงรถบรรทุกขึ้นมา แต่เมื่อสวนกับรถแทรกเตอร์เกิดเฉี่ยวกับล้อหลังของรถแทรกเตอร์ซึ่งเสียหลักไปขวางทางขวาของถนน จึงถูกรถบรรทุกของจำเลยที่ ๓ ชนเข้า อันเป็นเหตุกระชั้นชิดฉับพลัน ไม่อาจหลีกเลี่ยงการชนไปได้ การตายและบาดเจ็บสาหัสเห็นได้ว่าเป็นผลโดยตรงมาจากความประมาทของจำเลยที่ ๒ แต่ผู้เดียวตามนัยคำพิพากษาที่ ๑๐๑๑/๒๕๐๓ จำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๙ ซึ่งบัญญัติให้เดินรถทางด้านซ้ายของทาง มิได้บัญญัติถึงกับให้เดินชิดขอบซ้ายของทาง และหากจะถือเป็นการฝ่าฝืน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวก็สงเคราะห์ได้ว่าเป็นกรรมอันเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเข้าลักษณะความผิดตามกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกระทง ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงพิพากษาแก้โดยให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ทั้งหมดและจำเลยที่ ๒ เฉพาะสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๙, ๖๖ นอกจากนี้คงให้เป็นไปตามศาลอุทธรณ์

Share