แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หญิงที่แต่งงานโดยมิได้จดทะเบียนสมรสมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่พิพาทโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่ต่อมาจำเลยกลับอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงขอให้ขับไล่ ดังนี้ เป็นการฟ้องจำเลยฐานละเมิด มิได้อาศัยสิทธิการเช่า การนำสืบถึงการเช่าจึงไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ศาลรับฟังพยานบุคคลได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์มา ๑๑ – ๑๒ ปี แล้วโดยมิได้มีสัญญาเช่า ต่อมาโจทก์ให้จำเลยทำสัญญาเช่าเป็นหลักฐาน จำเลยไม่ยอม กลับอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เป็นหญิงมีสามีฟ้องคดีโดยมิได้รับอนุญาตจากสามี ฟ้องเคลือบคลุม ที่พิพาทเป็นของจำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกับสามีจึงไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากสามี ฟ้องไม่เคลือบคลุม ที่พิพาทเป็นของโจทก์ และคดีไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีสามีโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การฟ้องคดีจึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี ฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยฐานละเมิดไม่ได้อาศัยสิทธิการเช่า การที่โจทก์นำสืบถึงการเช่า แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ศาลก็รับฟังพยานบุคคลได้ และฟังว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ.
จึงพิพากษายืน.