แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์จดทะเบียนขายที่ดินให้จำเลยเพื่อให้จำเลยนำที่ดินไปประกันเงินกู้ของนางสาว ป. โดยมิได้ตกลงซื้อขายกันจริงหนังสือสัญญาขายที่ดินจึงเกิดขึ้นโดยเจตนาลวง เป็นโมฆะ จำเลยไม่มีอำนาจนำที่ดินไปจำนองต่อธนาคาร แต่ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ซึ่งการบังคับโดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยไม่สามารถทำได้ เพราะจะทำให้กระทบถึงสิทธิของผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ดังนั้นในกรณีนี้หากจำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองก่อน ก็ให้โจทก์ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 4275 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2520 โจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลย ด้วยเจตนาลวงโดยสมรู้กันว่าไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันจริงเพราะไม่มีการชำระราคาที่ดินเลย เนื่องจากโจทก์เป็นหนี้ธนาคารจำนวนมาก และที่ดินโฉนดเลขที่ 4275 มีราคาต่ำธนาคารไม่มีความเชื่อถือที่จะให้โจทก์ใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงินได้อีกโจทก์จึงต้องแสดงเจตนาลวงด้วย สมรู้กันโอนขายให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แล้วให้จำเลยนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่นางสาวประหยัด สุจรรยาเป็นผู้กู้จากธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากบินทร์บุรี แทนโจทก์ต่อมาเมื่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากบินทร์บุรี ฟ้องนางสาวประหยัดเพื่อบังคับชำระหนี้ที่กู้แทนโจทก์ โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากบินทร์บุรีครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้เรียกให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์ ต่อมาโจทก์ทราบว่า จำเลยจะขายที่ดินของโจทก์และนำที่ดินไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขากบินทร์บุรี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ และปฏิเสธไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4275 คืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตเป็นเงิน80,000 บาท ได้ชำระราคาและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้กระทำด้วยเจตนาลวงแต่ประการใด ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยกับนางสาวประหยัด สุจรรยาเคยพึ่งพาอาศัยกัน จำเลยจึงค้ำประกันเงินกู้ให้เมื่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากบินทร์บุรี ยื่นฟ้องนางสาวประหยัดและจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ จำเลยก็ได้ชำระหนี้แทนนางสาวประหยัดและนางสาวประหยัดได้ชดใช้เงินดังกล่าวแก่จำเลยแล้ว โจทก์ไม่เคยนำเงินมามอบให้จำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากบินทร์บุรีเลย โจทก์เห็นว่าราคาที่ดินสูงขึ้นจึงนำคดีมาฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมลวงที่โจทก์และจำเลยสมรู้กัน ตกเป็นโมฆะ พิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนการจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4275 แล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คืนให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ไปดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์จดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลย ก็เพื่อให้จำเลยนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่นางสาวประหยัดกู้มาให้โจทก์โดยมิได้ตกลงซื้อขายกันจริงแต่อย่างใดหนังสือสัญญาขายที่ดินเกิดขึ้นโดยเจตนาลวงระหว่างคู่กรณี จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 (มาตรา 155 ที่แก้ไขใหม่) จำเลยไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปจำนองต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัดจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องนำเงินไปชำระแก่ผู้รับจำนองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ เพื่อไถ่ถอนจำนองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วยแต่ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เห็นว่า การบังคับตามคำขอดังกล่าวจะถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลยไม่ได้ เพราะจะทำให้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้รับจำนอง เว้นแต่จะได้มีการชำระหนี้โดยครบถ้วนจึงจะดำเนินการไถ่ถอนจำนองได้ ดังนั้นหากจำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองแล้ว เห็นสมควรให้โจทก์ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยรับผิดชอบโดยชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
พิพากษากลับ ให้จำเลยไปไถ่ถอนจำนองที่ดิน แล้วให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ดำเนินการไถ่ถอนจำนองที่ดินแทนจำเลย โดยให้จำเลยรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย