คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5336/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีประเด็นพิพาทว่า การที่ธนาคารจำเลยไม่หักเงินตามเช็คเข้าบัญชีของธนาคารโจทก์ และไม่แจ้งให้ธนาคารโจทก์ทราบในวันรุ่งขึ้นหรือวันเปิดทำการนั้น จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เป็นความผิดของจำเลยแสดงให้ประจักษ์ต่อโจทก์ตามวิธีที่เคยปฏิบัติว่าจำเลยได้นำเงินตามเช็คเข้าบัญชีโจทก์แล้วการที่โจทก์จ่ายเงินตามเช็คให้ลูกค้าไปจึงมิใช่ความประมาทเลินเล่อของโจทก์ หรือเป็นการจ่ายเงินตามอำเภอใจ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ เช่นนี้ การที่จำเลยอุทธรณ์ในทำนองโต้แย้งว่า จำเลยได้นำเงินมาเข้าบัญชีของธนาคารโจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยมิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดอย่างไรในการที่ไม่แจ้งให้ทราบถึงเหตุที่ไม่สามารถหักเงินเข้าบัญชีโจทก์ได้ จึงเป็นอุทธรณ์นอกประเด็น แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกา ประเด็นพิพาทใดที่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้แล้วคู่ความมิได้อุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวให้ด้วยก็ถือไม่ได้ว่าได้วินิจฉัยตามประเด็นคู่ความอุทธรณ์ คู่ความจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงิน 1,200,000 บาท และค่าเสียหายถึงวันฟ้องรวม 2,100,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมค่าเสียหายคิดเท่ากับอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 1,200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์สาขาบ้านบึงจ่ายเงินให้ลูกค้าไปตามอำเภอใจเป็นเรื่องความประมาทเลินเล่อ โจทก์ไม่มีมูลหนี้ที่จะฟ้องร้องเอากับจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 1,200,000 บาทและค่าเสียหายจำนวน 450,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,650,000 บาทแก่โจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 1,200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ในข้อ 1ว่า จำเลยต้องรับผิดในการที่โจทก์จ่ายเงินตามเช็คทั้งสามฉบับแก่ลูกค้าหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นความผิดของจำเลยที่ได้แสดงให้ประจักษ์ต่อโจทก์ตามวิธีที่เคยปฏิบัติต่อกันว่าจำเลยได้นำเงินตามเช็ค 3 ฉบับ เข้าบัญชีของโจทก์เรียบร้อยแล้วการที่โจทก์จ่ายเงินให้ลูกค้าจำนวน 1,200,000 บาท จึงหาใช่เป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์หรือเป็นการจ่ายเงินไปตามอำเภอใจไม่จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วแทนที่จำเลยจะอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดอย่างไร ในการไม่แจ้งให้โจทก์ทราบเกี่ยวกับเช็คทั้ง 3 ฉบับ ที่ไม่สามารถหักเงินเข้าบัญชีของโจทก์ได้จำเลยกลับอุทธรณ์ในข้อ 2 และข้อ 3 ทำนองว่า จำเลยได้นำเงินจำนวน 1,200,000 บาท มาเข้าบัญชีในบัญชีเดินสะพัดของธนาคารโจทก์สาขาบ้านบึงแล้วจนโจทก์ไม่เกิดความเสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย โดยอ้างคำเบิกความของพยานโจทก์และบัญชีเดินสะพัดของธนาคารทั้งสองแสดงว่าโจทก์กลับเป็นลูกหนี้ของจำเลย อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์นอกประเด็น แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะฎีกาได้ จำเลยยกเอาเรื่องเดียวกันนี้ขึ้นฎีกาในข้อ 2 ว่าโจทก์ได้หักเงินจำนวน 1,200,000 บาทจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยสาขาบ้านบึงที่มีอยู่กับโจทก์สาขาบ้านบึงไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีความเสียหาย จึงเป็นฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยยังได้ฎีกาในข้อ 4โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังว่าการที่โจทก์สาขาบ้านบึงนำเช็คเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 เข้าบัญชีของจำเลยสาขาบ้านบึงลงลายมือชื่อประทับตราจำเลยเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมรับว่าเช็คดังกล่าวสามารถเรียกเก็บเงินได้นั้นเป็นความคลาดเคลื่อนของโจทก์เองและเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์เองที่ไม่ได้ติดตามทวงถามจำเลยให้แน่นอนเสียก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ฎีกาข้อ 4 นี้เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีนี้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ แม้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย ก็ไม่ถือว่าได้วินิจฉัยตามประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ ฎีกาข้อ 4ของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแต่ศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share