คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5331/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจำนองเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง จำเลยจึงนำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างว่า จำเลยมิได้จำนองเพื่อประกันหนี้ของตนเองไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจำนองที่ดินมีโฉนดแก่โจทก์เป็นประกันหนี้150,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยรับหนังสือแล้วไม่ไถ่ถอนจำนอง จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์213,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน150,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเสร็จหากจำเลยไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า เดิมบุตรสาวของจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 130,000 บาทโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน และคิดล่วงหน้าไว้20,000 บาท จำเลยจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ดังกล่าว ต่อมาโจทก์ออกเงินให้บุตรสาวจำเลยไปไถ่ถอนจำนองรายอื่น 200,000 บาท และนำมาจำนองแก่โจทก์โดยรวมหนี้เก่าและค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 400,000 บาทและตกลงกันว่าเมื่อบุตรสาวจำเลยจำนองที่ดินดังกล่าวแล้วโจทก์จะไถ่จำนองให้จำเลย แต่โจทก์ไม่ทำตามข้อตกลงและได้ฟ้องบุตรสาวจำเลยให้ชำระหนี้และบังคับจำนองจำนวนเงิน 400,000 บาท ซึ่งรวมหนี้ที่จำเลยจำนองในคดีนี้เข้าไปด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บุตรสาวจำเลยแพ้คดีและคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องซ้ำ และมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีต่อกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง หากจำเลยจะต้องรับผิดก็เพียง 130,000 บาท ส่วนอีก 20,000 บาท เป็นดอกเบี้ยผิดกฎหมายเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์213,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน150,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาจำนองเป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง จำเลยจึงนำสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างว่าจำเลยมิได้จำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ของตนเองไม่ได้ แล้วศาลฎีกาได้วินิจฉัยต่อไปว่าฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share