แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำร้องของ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องได้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 3 โอนให้แก่ผู้คัดค้านโดยไม่มีค่าตอบแทนและเป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 แต่ตามคำร้องมิได้บรรยายว่าลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้รายใดเสียเปรียบ จึงต้องถือว่าผู้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนซึ่งทำให้โจทก์ต้องเสียเปรียบรายเดียวเท่านั้น ซึ่งการร้องขอตามบทกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้ความว่าลูกหนี้ต้องเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่ก่อนหรือขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมอันจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบจำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านไป เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2525 แต่จำเลยที่ 3 เพิ่งเป็นลูกหนี้โจทก์เมื่อปี 2528 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่จำเลยที่ 3 โอนที่ดินให้ผู้คัดค้านแล้วถึง 3 ปี ขณะที่จำเลยที่ 3 โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นโจทก์จึงยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 3ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะร้องขอให้เพิกถอนการโอน
ย่อยาว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 27กันยายน 2531 ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งหกเด็ดขาดปรากฏว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2525 จำเลยที่ 3 ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 91255, 91256, 7449, 26491และ 31046 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้แก่นายดุลย์ จุลไพบูลย์ซึ่งเป็นบุตรชายโดยไม่มีค่าตอบแทนและเป็นการฉ้อฉล ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ 3 โอนให้นายดุลย์เสีย ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 113 หากไม่สามารถโอนกลับคืนได้ก็ให้นายดุลย์ใช้ราคาทรัพย์สินดังกล่าวเป็นเงิน 37,218,440 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 3 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้ผู้คัดค้านโดยสุจริต ไม่เป็นการฉ้อฉล และคำร้องขอให้เพิกถอนการโอนขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลหรือไม่ ตามคำร้องของ ผู้ร้องเห็นได้ชัดว่าได้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 91255, 91256, 7449, 26491 และ 31046 แขวงคลองเตยเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 3 โอนให้แก่ผู้คัดค้านโดยไม่มีค่าตอบแทน และเป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 แต่ตามคำร้องมิได้บรรยายว่าลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้รายใดเสียเปรียบ จึงต้องถือว่าผู้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนซึ่งทำให้โจทก์ต้องเสียเปรียบรายเดียวเท่านั้น ซึ่งการร้องขอตามกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้ความว่า ลูกหนี้ต้องเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่ก่อนหรือขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมอันจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบแต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่า จำเลยที่ 3 ได้จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านไปเมื่อวันที่ 17พฤษภาคม 2525 และจำเลยที่ 3 เพิ่งเป็นลูกหนี้โจทก์เมื่อปี 2528อันเป็นเวลาภายหลังจากที่จำเลยที่ 3 โอนที่ดินให้ผู้คัดค้านแล้วถึง 3 ปี ขณะจำเลยที่ 3 โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นโจทก์จึงยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 3 ดังนั้นแม้จำเลยที่ 3 จะโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านโดยไม่มีค่าตอบแทนก็ตาม ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกคำร้องของ ผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน