คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาให้ถือว่าผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 นั้น คงผูกพันคู่ความตามความหมายของ มาตรา 1(11) หามีผลผูกพันถึงพยานที่ได้เบิกความไว้ในคดีอื่นไม่ คำเบิกความของพยานที่ เบิกความไว้ในคดีก่อนจะรับฟังเป็นยุติว่าเป็นความจริงโดยเด็ดขาดหาได้ไม่ แม้ในคดีดังกล่าวศาลจะได้พิพากษาคดีถึงที่สุดโดยเชื่อว่าคำเบิกความของพยานเป็นความจริงคำเบิกความของพยานจะเป็นเท็จหรือไม่เป็นปัญหาที่ต้องมีการพิจารณาวินิจฉัยในเนื้อแท้ของความจริงให้ประจักษ์มิฉะนั้นแล้วหากเผอิญศาลเชื่อรับฟังคำเบิกความของผู้ใดอันเป็นเท็จไว้เป็นยุติในคดีใด ผู้นั้นก็จะไม่มีโทษอันเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จได้เลยทั้งๆ ที่ความจริงของคำเบิกความนั้นเป็นเท็จและอาจพิสูจน์ให้เห็นชัดได้ในคดีที่ถูกฟ้องภายหลัง อีกทั้งไม่มีบทกฎหมายใดที่จะรองรับคำเบิกความของพยานในกรณีดังกล่าวให้ถือเป็นยุติว่าเป็นความจริงไม่เป็นเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริมเพื่อให้จำเลยที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในการสืบพยานโจทก์ในคดีแพ่งของศาลแขวงสุรินทร์ ต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2523 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันเบิกความอันเป็นเท็จในคดีแพ่งดังกล่าวว่า “ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ซื้อมาจากจำเลยที่ 2” ต่อมา ในวันก่อนหรือในวันที่ 22 ธันวาคม 2523 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ได้จ้างวานหรือยุยงส่งเสริม หรือร่วมกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เพื่อให้จำเลยที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาสืบพยานโจทก์ในคดีดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 3ถึงที่ 5 โดยการจ้างวาน หรือยุยงส่งเสริมของจำเลยที่ 1 ร่วมกันเบิกความอันเป็นเท็จว่า “ที่ดินที่พิพาทนี้เดิมเป็นของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ซื้อมาจากจำเลยที่ 2” คำเบิกความของจำเลยทั้ง 5 ไม่เป็นความจริง และเป็นข้อความสำคัญในคดี ความจริงที่พิพาทเป็นของโจทก์รับโอนทางพินัยกรรมจากนางนมผู้เป็นยาย การกระทำของจำเลยทั้งห้ามีเจตนาทุจริตเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทและเพิกถอนน.ส.3 ของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 91, 177

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าในคดีแพ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 คดีนี้ที่ได้มีข้อพิพาทโดยกลับเป็นโจทก์ฟ้องร้องกันในคดีก่อนศาลมีคำวินิจฉัยชี้ขาดโดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุด คำพิพากษาคดีแพ่งในคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความทั้งสองฝ่ายในคดีนี้ การที่จำเลยทั้งห้าในฐานะพยานที่เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีก่อนจึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความนั้นเป็นเท็จ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จะได้มีบทบัญญัติให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่มีคำพิพากษาหรือมีคำสั่ง ดังที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นอ้างก็ตาม แต่เห็นว่าคงมีผลผูกพันเฉพาะแต่คู่ความตามความหมายของมาตรา (11) แห่งกฎหมายดังกล่าวหามีผลผูกพันถึงพยานที่ได้เบิกความไว้ในคดีอื่นไม่ คำเบิกความของพยานจึงยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าเป็นเท็จหรือไม่ ทั้งนี้โดยมิต้องคำนึงว่าคำเบิกความของพยานในคดีก่อนศาลจะได้พิพากษาถึงที่สุดโดยเชื่อว่าเป็นความจริงก็ดี หรือในกรณีที่ฝ่ายแพ้คดีไม่นำสืบหักล้างดังที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างก็ดี ศาลฎีกายังเห็นว่า คำเบิกความของพยานดังกล่าวจะให้รับฟังเป็นยุติว่าเป็นความจริงโดยเด็ดขาดหาได้ไม่คำเบิกความจะเป็นเท็จหรือไม่เป็นปัญหาที่ต้องมีการพิจารณาวินิจฉัยในเนื้อแท้ของความจริงให้ประจักษ์ มิฉะนั้นแล้วหากเผอิญศาลเชื่อรับฟังคำเบิกความของผู้ใดอันเป็นเท็จไว้เป็นยุติในคดีใด ผู้นั้นก็จะไม่มีโทษอันเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จได้เลยทั้ง ๆ ที่ความจริงของคำเบิกความนั้นเป็นเท็จและอาจพิสูจน์ให้เห็นชัดได้ ในคดีที่ถูกฟ้องในภายหลัง อีกทั้งไม่มีบทกฎหมายใดที่จะรองรับคำเบิกความของพยานในกรณีดังกล่าวให้ถือเป็นยุติว่าเป็นความจริง ไม่เป็นเท็จ ด้วยเหตุนี้เมื่อจำเลยทั้งห้าในฐานะพยานเบิกความไว้ในคดีก่อนและถูกฟ้องหาว่าเบิกความเท็จเป็นคดีนี้ จึงถือเป็นยุติไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งห้าในคดีก่อนไม่เป็นเท็จ และวินิจฉัยต่อไปว่าพยานโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องมีมูลพอจะประทับฟ้องไว้พิจารณา

พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป

Share