แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในคดีอาญาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันฉีกเอกสาร ตรง ที่มีข้อความและลายมือชื่อผู้รับของในใบส่งของชั่วคราวซึ่ง เป็นความผิดฐานทำลายเอกสารของโจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลย ทั้งสองได้ร่วมกันซื้อสินค้าของโจทก์ไปตามรายการในเอกสารที่ ถูกทำลายแล้วไม่ยอมชำระค่าสินค้าให้โจทก์ ซึ่งเป็นเรื่องฟ้อง ขอให้ชำระหนี้ค่าสินค้าประเด็นในคดีทั้งสองจึงเป็นคนละประเด็นกัน หาใช่ประเด็นในคดีนี้เป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วโดยตรง ในคดีอาญาไม่คำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ก็เป็น เรื่องที่ฟังว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำผิดฐานทำลายเอกสาร โดย มิได้หมายความว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าสินค้าตามรายการในเอกสาร ที่ถูกทำลายให้แก่โจทก์แล้วเพราะเอกสารดังกล่าวเป็นแต่เพียง หลักฐานแห่งหนี้หาใช่หลักฐานแห่งการชำระหนี้ไม่ การที่จะถือว่า คดีใดเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาข้อสำคัญต้องเป็นเรื่อง เรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการ กระทำ ความผิดอาญาของจำเลยซึ่งเป็น ข้อเท็จจริงเฉพาะที่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาเท่านั้น คดีนี้ จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังนั้น การพิจารณาพิพากษา คดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดี ส่วนอาญาโดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าขายเสื้อผ้า กางเกงและอุปกรณ์การเล่นกีฬา จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันซื้อสินค้าไปจากโจทก์ 16 ครั้ง ในเดือนธันวาคม 2527 จำนวน8 ครั้ง เป็นเงิน 184,034 บาท และเดือนมกราคม 2528 จำนวน 8 ครั้ง เป็นเงิน67,320 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 251,354 บาท จำเลยรับสินค้าไปแล้ว แต่ยังไม่ชำระเงินให้โจทก์ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระค่าสินค้า 251,354 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2528 ถึงวันฟ้อง เป็นค่าดอกเบี้ย30,738 บาท รวมเป็นเงิน 282,092 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 282,092 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 251,354 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้อง 16 รายการไปจากโจทก์จริง แต่เป็นการซื้อเชื่อมีเงื่อนเวลาชำระเงินให้โจทก์ภายใน 3 เดือน และได้ชำระราคาสินค้าให้โจทก์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2528 ในวันดังกล่าวมีการหักราคาและคืนสินค้าที่มีตำหนิเป็นกางเกงวอร์ม 76 ตัว ตัวละ 67 บาท เป็นเงิน 5,092 บาท และกางเกงขาสั้น 1 ตัว ตัวละ 26 บาท คงเหลือราคาสินค้าที่ต้องชำระเป็นเงิน178,916 บาท ได้ชำระเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาธนบุรี จำนวน 4 ฉบับฉบับละ 44,729 บาท หนี้ค่าสินค้าตามฟ้องข้อ 2.1 ถึง 2.8 จึงระงับไปแล้ว คงค้างชำระค่าสินค้าตามฟ้องข้อ 2.9 ถึง 2.16 เท่านั้น
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยร่วมประกอบการค้ากับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นแม่บ้านไม่มีอาชีพค้าขาย การที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อในใบส่งของชั่วคราวฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2528 เป็นการทำแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 282,092 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้ซื้อสินค้าตามฟ้องไปจากโจทก์รวม 16 รายการจริง และยังไม่ได้ชำระค่าสินค้ารายการตามฟ้องข้อ 2.9ถึง 2.16 ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในชั้นนี้มีเพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าสินค้ารายการตามฟ้องข้อ 2.1 ถึง 2.8 ให้โจทก์แล้วหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อแรกว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในข้อหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำลายใบส่งของชั่วคราวตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4161/2528 หมายเลขแดงที่ 7494/2528 ของศาลอาญาธนบุรี และศาลฎีกาได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วโดยให้ยกฟ้องโจทก์ และฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้ค้างชำระค่าสินค้ายอดเดือนธันวาคม 2527 ซึ่งได้มีการฉีกใบส่งของชั่วคราวในส่วนลายมือชื่อผู้รับของออกแล้วนั้นเห็นว่า ในคดีอาญาดังกล่าว โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันฉีกเอกสารตรงที่มีข้อความและลายมือชื่อผู้รับของในใบส่งของชั่วคราวซึ่งเป็นความผิดฐานทำลายเอกสารของโจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันซื้อสินค้าของโจทก์ไปตามรายการในเอกสารที่ถูกทำลาย แล้วไม่ยอมชำระค่าสินค้าให้โจทก์ ซึ่งเป็นเรื่องฟ้องขอให้ชำระหนี้ค่าสินค้า ประเด็นในคดีทั้งสองจึงเป็นคนละประเด็นกันหาใช่ประเด็นในคดีนี้เป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วโดยตรงในคดีอาญาดังกล่าวไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ก็เป็นเรื่องที่ฟังว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำผิดฐานทำลายเอกสาร โดยมิได้หมายความว่า จำเลยทั้งสองได้ชำระค่าสินค้าตามรายการในเอกสารที่ถูกทำลายให้แก่โจทก์แล้ว เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นแต่เพียงหลักฐานแห่งหนี้ดังที่เขียนระบุไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกา หาใช่หลักฐานแห่งการชำระหนี้ไม่ การที่จะถือว่าคดีในเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้นข้อสำคัญต้องเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเฉพาะที่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาเท่านั้น คดีนี้จึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ดังนั้น การพิจารณาพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้หยิบยกคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวในส่วนอาญามาพิจารณา เพราะศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ยังค้างชำระค่าสินค้าตามใบส่งของชั่วคราวโดยรับฟังผลคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ไปนั้น ศาลฎีกาได้ตรวจคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ปรากฏว่าที่ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ก็เพราะมีเหตุอื่น ๆ อีกหลายประการ หาใช่เชื่อโดยการรับฟังผลคดีอาญาของศาลชั้นต้นโดยตรงไม่ ฉะนั้น จะยกคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมารับฟังในคดีนี้ว่า ได้มีการชำระค่าสินค้าด้วยเช็ค 4 ฉบับเรียบร้อยแล้วหาได้ไม่เพราะมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ดังที่วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ชำระค่าสินค้าตามฟ้องข้อ 2.1 ถึง 2.8 ให้โจทก์จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระค่าสินค้าตามฟ้องให้โจทก์”
พิพากษายืน