คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5313/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้เงินยืม หนี้ค่าน้ำมันและหนี้อื่น ๆ ต่อโจทก์ รวมเป็นเงิน 140,000 บาท ต่อมาจำเลยทำสัญญากู้ให้แก่โจทก์จำนวน 140,000 บาท จำเลยได้รับเงินไปแล้วโดยยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ปรากฏตามสัญญากู้ท้ายฟ้อง ครั้นหนี้ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย 232,400 บาท ดังนี้ ฟ้องของโจทก์แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เนื่องจากมูลหนี้ใดบ้าง เมื่อรวมหนี้ทุกประเภทจนถึงวันฟ้อง จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อีกเท่าใด เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้องบังคับจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ อันเป็นการถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เดิมจำเลยเป็นหนี้เงินยืมและหนี้อื่น ๆ ต่อโจทก์จำนวน140,000 บาท ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินระบุหนี้เป็นจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ กรณีเป็นการที่คู่สัญญาเปลี่ยนข้อผูกพันจากหนี้อื่น และหนี้เงินยืมมารวมผูกพันกันในลักษณะกู้ยืมตามสัญญากู้ที่ทำขึ้นไว้สัญญากู้จึงผูกพันจำเลยโดยบริบูรณ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้เงินยืม หนี้ค่าน้ำมันและหนี้อื่น ๆ ต่อโจทก์ เมื่อรวมกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 140,000 บาทต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2524 จำเลยทำสัญญากู้ให้แก่โจทก์จำนวน140,000 บาท จำเลยได้รับเงินไปแล้วโดยยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ปรากฏตามสัญญากู้ท้ายฟ้อง ครั้นหนี้ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระหนี้ จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย232,400 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 232,400 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 140,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงินตามฟ้อง ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ของจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน140,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 14ธันวาคม 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นหนี้เงินยืมและหนี้ค่าน้ำมันต่อโจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 140,000 บาท จำเลยได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ พร้อมทั้งมอบโฉนดที่ดินให้โจทก์ไว้เป็นประกันแล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าเดิมจำเลยเป็นหนี้เงินยืมโจทก์เป็นหนี้ค่าน้ำมันและหนี้อื่น ๆ ต่อโจทก์ เมื่อรวมกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 140,000 บาท ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2524จำเลยทำสัญญากู้ให้ไว้แก่โจทก์ จำนวน 140,000 บาท จำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว จำเลยยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ15 ต่อปี ปรากฏตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้อง ครั้นถึงกำหนดชำระหนี้จำเลยไม่ยอมชำระ จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง 232,400 บาท ซึ่งฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนั้นเป็นการแสดงที่มาของมูลหนี้ตามสัญญากู้ เมื่อรู้ว่ายอดหนี้เป็นจำนวนเท่าใดจึงระบุในสัญญากู้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจำนวนดังกล่าว และระบุในสัญญากู้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้ไปเรียบร้อยแล้ว ฟ้องของโจทก์เป็นการแสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ เนื่องจากมูลหนี้อะไรบ้าง เมื่อรวมหนี้ทุกประเภทแล้วจนถึงวันฟ้อง จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่อีกเท่าใด เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ อันเป็นการถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสองแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริง กรณีที่โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาเปลี่ยนข้อผูกพันจากหนี้อื่น และหนี้เงินยืมรายอื่น มารวมผูกพันกันในลักษณะกู้ยืมตามที่ได้ทำสัญญากู้ขึ้นไว้ สัญญากู้ดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยโดยบริบูรณ์ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์
พิพากษายืน.

Share