คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ส. เคยเป็นทนายความของจำเลย แต่ถูกถอนออกไปแล้ว เมื่อส. ลงชื่อในอุทธรณ์โดยไม่ได้รับแต่งตั้ง ถือว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำฟ้องอุทธรณ์ แต่ ส. เคยทำหน้าที่ทนายความแทนจำเลย การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องอุทธรณ์จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดิน น.ส.3 สารบบเลขที่ 3 เล่มที่ 8หน้า 40 หมู่ที่ 24 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีเป็นของนางตา ยุบลไทร ต่อมาปี 2520 นางตาได้ขายที่ดินน.ส.3 ดังกล่าวบางส่วนให้แก่โจทก์ คือที่ดินโฉนดเลขที่ 6583ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และที่ดินน.ส.3 ดังกล่าวส่วนที่ติดกับที่ดินโฉนดดังกล่าวทางด้านทิศเหนือซึ่งมีลักษณะพื้นที่ดินเป็นรูปสามเหลี่ยม ด้านทิศเหนือยาวประมาณ15 วา ด้านทิศใต้ยาวประมาณ 15.5 วา และด้านทิศตะวันออกยาวประมาณ 1 วา เนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวา ซึ่งโจทก์ได้ครอบครองยึดถือเพื่อตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของในที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมาต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม 2527 จำเลยได้นำ น.ส.3 เลขที่ 576หมู่ที่ 1 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินในการรังวัดที่ดินจำเลยได้นำชี้ที่ดินแปลงดังกล่าวว่าเป็นของจำเลย โจทก์ได้คัดค้านแต่จำเลยยังคงยืนยันว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 สารบบเลขที่ 3 เล่มที่ 8หน้า 40 หมู่ที่ 24 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีตามเอกสารหมาย จ.1 ทิศเหนือยาวประมาณ 15 วา ทิศใต้ยาวประมาณ15.5 วา และทิศตะวันออกยาวประมาณ 1 วา เนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวาเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยได้แต่งตั้งนายสุนทร ประจำ เป็นทนายความให้ดำเนินคดีแทนจำเลย เมื่อได้รับแต่งตั้งแล้วนายสุนทรได้ยื่นคำให้การแก้คดี แต่ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 5 กันยายน 2528 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอถอนนายสุนทรออกจากการเป็นทนายความของจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามที่จำเลยขอในวันเดียวกัน และในวันเดียวกันนี้ จำเลยได้แต่งตั้งนายรักพงษ์ ธนสารกุล เป็นทนายความของจำเลยนายรักพงษ์ได้ดำเนินคดีแทนจำเลยต่อจากนายสุนทรตลอดมาจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยอุทธรณ์ แต่จำเลยหรือนายรักษ์พงษ์ซึ่งมีสิทธิยื่นคำฟ้องอุทธรณ์แทนจำเลยมิได้ลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ กลับปรากฏว่านายสุนทรทนายความซึ่งถูกถอนไปแล้วได้ลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ ได้ความดังกล่าวมา ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่ทนายความลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์โดยไม่ได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจใช้สิทธิอุทธรณ์นั้นถือว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลย แต่แม้นายสุนทรถูกถอนออกจากการเป็นทนายความของจำเลยแล้ว นายสุนทรก็เคยทำหน้าที่ทนายความดำเนินคดีแทนจำเลย การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งนายสุนทรผู้ลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ไม่มีอำนาจนั้น เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ศาลฎีกามีอำนาจที่จะสั่งให้แก้ไขได้ตามที่เห็นสมควร คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

Share